DMT อวด Q4/64 เติบโต 110% เคาะเงินปันผล 0.32 บาท/หุ้น

ทางยกระดับดอนเมือง หรือ DMT เผยไตรมาส 4/2564 บริษัทฯ มีรายได้ค่าผ่านทาง เป็นจำนวน 384.79 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 110% คาดปี 65 รายได้และปริมาณการจราจรโตตามทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มทยอยฟื้นตัว บอร์ดไฟเขียวเงินปันผล 0.32 บาท/หุ้น

นายธานินทร์ พานิชชีวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2564 บริษัทฯ ได้รับผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณจราจรและรายได้ของบริษัทฯ จากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่มีการ Lockdown 2 ครั้ง ในเดือนพฤษภาคม และเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม โดยรายได้ค่าผ่านทางลดลงในอัตราร้อยละ 41 เมื่อเทียบกับปี 2563 แม้ว่ารายได้ค่าผ่านทางจะลดลง แต่บริษัทฯ ก็ยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ และดำเนินการบริหารการจัดการในการลดและควบคุมค่าใช้จ่าย การปรับเลื่อนแผนงานโครงการ ซึ่งมาตรการต่างๆ ที่บริษัทฯ ได้นำมาปรับใช้เป็นแนวทางดำเนินการเช่นเดียวกับปี 2563 ซึ่งไม่กระทบต่อการให้บริการบนทางยกระดับ

ทั้งนี้จากความสำเร็จในการนำหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 140 ล้านหุ้นเข้าจดทะเบียนฯ และมีการซื้อ-ขายเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 ส่งผลให้ ณ 31 ธันวาคม 2564 ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่ง อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.07 เท่า ซึ่งทำให้บริษัทฯ มีสภาพคล่องเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์การต่าง ๆ ได้ และมีความพร้อมในการขยายกิจการในการเข้าร่วมประมูลโครงการที่ภาครัฐเปิดประมูลเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุน (Public Private Partnership) ในระหว่างปี 2565-2566 หลายโครงการ รวมทั้งได้ดำเนินการปรับปรุงระบบการให้บริการต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นระบบการจัดเก็บค่าผ่านทาง ระบบการจัดการจราจรและกู้ภัย เพื่อให้การบริการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ใช้ทางเกิดความมั่นใจและประทับใจในการบริการ โดยในไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ จะเปิดใช้ระบบจัดเก็บค่าผ่านทางแบบอิเล็กทรอนิคส์ที่ชำระค่าผ่านทางด้วยบัตร M-Pass และ Easy Pass รวมถึงการชำระค่าผ่านทางด้วยบัตร EMV และ QR Payment นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ศึกษาและพัฒนาระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติ “แบบไม่มีไม้กั้นหรือ M-Flow” ซึ่งบริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการติดตั้งช่อง M-Flow Demo Lane Test ที่บริเวณด่านดินแดง จำนวน 2 ช่อง เพื่อทดสอบระบบการตรวจจับยานพาหนะแบบอัตโนมัติ โดยจะมีการทดสอบการเชื่อมต่อข้อมูลกับระบบ Single Platform ของกรมทางหลวงในช่วงต้นปี 2565

ด้วยความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุน DMT พร้อมขยายกิจการและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ โดยจะนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานที่มีมานานกว่า 30 ปี เข้าไปร่วมพัฒนาโครงการที่ภาครัฐเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน ทั้งในธุรกิจทางด่วนและทางพิเศษ (Toll Road Business) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต – บางปะอิน (M5) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางขุนเทียน – บ้านแพ้ว (M82) โครงการทางพิเศษสายกะทู้ - ป่าตอง และธุรกิจอื่นนอกเหนือจากธุรกิจทางด่วนและทางพิเศษ (Non-Toll Road Business) อาทิ โครงการพัฒนาจุดพักรถริมทางหลวง (Rest Area) และ โครงข่ายระบบขนส่งรอง (Feeder) โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง

ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย รองกรรมการผู้จัดการสายงานธุรกิจและการเงิน DMT กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงาน ในไตรมาส 4/2564 บริษัทฯ มีรายได้ค่าผ่านทาง 384.79 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 110 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยปริมาณจราจรเพิ่มขึ้นจาก 34,870 คันต่อวัน ในไตรมาส 3/2564 เป็น 72,396 คันต่อวัน ในไตรมาส 4/2564 เป็นผลมาจากการที่ภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ ประกาศยกเลิกเคอร์ฟิว การเปิดประเทศ และการเปิดภาคเรียนบางส่วนที่มีความพร้อมในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจ ที่ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 4/2564 สูงขึ้นกว่าไตรมาส 3/2564 แต่ก็ยังคงต่ำกว่าไตรมาส 4/2563

อย่างไรก็ตามคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีอนุมัติให้เสนอการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.32 บาท ซึ่งบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ [0.07] บาท เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2564 ดังนั้น คงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายอีกในอัตราหุ้นละ [0.25] บาท โดยบริษัทฯ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 9 มีนาคม 2565 (หรือ XD วันที่ 9 มีนาคม 2565 ) และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลในวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 หลังจากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 แล้ว

สำหรับแนวโน้มรายได้และปริมาณจราจรในปี 2565 มีปัจจัยที่ส่งเสริมให้ปริมาณจราจรฟื้นกลับอย่างรวดเร็วตามระดับของมาตรการผ่อนคลายกิจกรรมของภาครัฐต่อเนื่อง การเร่งกระจายการฉีดวัคซีน การเปิดภาคเรียน และแผนการเปิดประเทศที่ภาครัฐเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว ซึ่งจะสนับสนุนการเดินทางและปริมาณจราจรบนทางยกระดับให้เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากลักษณะธุรกิจของบริษัทฯ เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานประเภททางด่วนที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ดังนั้นจึงคาดว่าธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้จะฟื้นตัวเร็วกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ เพราะทุกภาคส่วนยังจำเป็นต้องมีกิจกรรมการเดินทาง หรือ การคมนาคมยังมีความจำเป็นต่อเนื่องตลอดเวลา และเมื่อพิจารณารูปแบบการการเดินทาง เปรียบเทียบ รถยนต์ส่วนบุคคล รถโดยสารสาธารณะ และรถไฟฟ้าจะเห็นว่าโดยรถยนต์ส่วนบุคคลสามารถบริหารจัดการเรื่อง Social Distancing ได้ดีกว่าการเดินทางโดยรถยนต์สาธารณะและรถไฟฟ้า และลักษณะการเดินทางที่เป็นระบบขนส่งมวลชนประเภทอื่นๆ ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยบวก รวมถึงโครงการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งโดยรอบทางยกระดับดอนเมืองและการขยายตัวของชุมชน ยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment