IHL กางงบ Q1/67 รายได้รวม 631 ล้านบาท กำไรพีคแรง 578%

บมจ.อินเตอร์ไฮด์ (IHL) พุ่งทะยาน เปิดผลงานไตรมาส 1/67 กวาดกำไรเกือบ 22 ล้านบาท โต 58% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) และพีคแรง 578% จากไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ) ด้านรายได้รวมอยู่ที่ 631 ล้านบาท โตขึ้น 22% (YoY)

นายองอาจ ดำรงสกุลวงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) หรือ IHL ผู้นำในอุตสาหกรรมหนังแห่งเอเชียอาคเนย์ที่ขับเคลื่อนองค์กรด้วยมาตรฐานสากล เปิดเผยผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2567 ประสบความสำเร็จ มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 21.64 ล้านบาท เติบโตขึ้น 58.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 578.13% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ) สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของรายได้ธุรกิจหนังรองเท้า ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจใหม่เติมเต็มพอร์ต และมีอัตรากำไรที่ดี ควบคู่การควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม

โดย บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ อยู่ที่ 621.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 73.99% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ปัจจัยหลักมาจากรายได้จากการขายหนังผืนสำเร็จรูปสำหรับอุตสาหกรรมรองเท้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการโอนหน่วยธุรกิจหนังรองเท้าจาก WOLVERINE WORLD WIDE, INC. ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้สามารถรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้ อีกทั้ง บริษัทฯมีการรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 8.99 ล้านบาท ทำให้มีรายได้รวมสุทธิ 631.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 77.46% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา

ทั้งนี้ บริษัทสามารถบริหารจัดการควบคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี จึงส่งผลให้บริษัทมีกำไรที่ปรับตัวดีขึ้น โดยกำไรขั้นต้น อยู่ที่ 97.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.97% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 145.52% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยอัตรากำไรขั้นต้นเมื่อเทียบกับรายได้จากการขายและบริการในไตรมาสที่ 1/2567 เทียบกับไตรมาส 1/2566 เท่ากับ 15.72% และ 12.98% ตามลำดับ สาเหตุหลักมาการขายหนังผืนสำเร็จรูปสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้า

ด้าน นายวศิน ดำรงสกุลวงษ์ กรรมการ บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) หรือ IHL เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1 ปี 2567 นี้ ภาพรวมเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะชะลอตัว ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม ภาคอุตสาหกรรมไทยหดตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าหมวดยานยนต์เนื่องจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันทางการเงิน และแนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ได้ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ขยายการเติบโตของธุรกิจไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ มากขึ้น ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้า ที่ได้เดินหน้ามาตั้งแต่เดือนมกราคม ซึ่งปัจจุบันมีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง สร้างการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดด้วยแบรนด์รองเท้ายอดนิยม อาทิ Nike, Adidas, New Balance และวางเป้ายอดขายปีแรกจากธุรกิจหนังรองเท้าแตะระดับ 1,000 ล้านบาท สนับสนุนการเติบโต

นอกจากนี้ยังได้ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ตรงกับเป้าหมายมากขึ้น ได้แก่กลุ่ม อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ภายใต้แบรนด์ MOMO&FRIENDS ทางบริษัทฯ มีนโยบายกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจให้มีความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจ มีการ นำเทคโนโลยีต่างๆมาใช้เพื่อควบคุมต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันและสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment