จีดีพีQ2/63ติดลบ12.2%

สภาพัฒน์เผยGDP ไตรมาส 2/63 ติดลบ 12.2% ภาคการผลิตลดลง เว้นก่อสร้างที่แรงหนุนจากการลงทุนภาครัฐ รวมถึงการอุปโภค การบริโภคในประเทศ ลุ้นทั้งปี 63 ติดลบ 7.5%

นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ไตรมาสที่ 2 ของปี 63 ระหว่างเดือน เม.ย.-มี.ค.ที่ผ่านมา GDP ติดลบ 12.2% (-12.2%) เมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว ลดลงจากไตรมาสแรกของปี 2563 อยู่ 9.7% รวมครึ่งแรกของปี 2563 เศรษฐกิจไทยปรับตัวติดลบ 6.9 (-6.9%)

โดยการใช้จ่ายการสํงออกสินค้าและบริการ และการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง ขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐกลับมาขยายตัว ด้านการผลิต สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาอุตสาหกรรม สาขาเกษตรกรรม สาขาการขนสํงและสถานที่เก็บสินค้า สาขาการขายส่การขายปลีก และสาขาไฟฟ้าและก๊าซ ปรับตัวลดลง ในขณะที่การผลิต

สาขาก่อสร้าง สาขาการเงินและการประกันภัย และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร ขยายตัว

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2563คาดว่าจะปรับตัวลดลงในช่วง (-7.8) - (-7.3) เนื่องจาก 1. การปรับตัวลดลงมากของรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2. ภาวะถดถอยรุนแรงของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก 3.ผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศ และ 4.ปัญหาภัยแล้ง โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะปรับตัวลดลง 10.0% การบริโภค

ภาคเอกชน และการลงทุนรวมปรับตัวลดลง 3.1% และร้อยละ 5.8% ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อ

ทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง (-1.2) - (-0.7)% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.5 ของ GDP

โดยสภาพัฒน์ได้เสนอให้ภาครัฐควรประสานนโยบายการเงินการคลังให้ยืดหยุ่น สนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ดูแลธุรกิจและแรงงานในสาขาเศรษฐกิจที่ยังมีปัญหา หนุนการขับเคลื่อนการส่งออก การฟื้นตัวของภาคการผลิตและการลงทุนเอกชน การดูแลภาคการเกษตรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง รวมไปถึงการเร่งขับเคลื่อนการใช้จ่ายภาครัฐงบปี 2563 และไตรมาสแรกปี 2564 รวมทั้งใช้จ่ายงบเหลื่อมปี

“เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว แล้วจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 3 และ 4 ส่วน แต่จะฟื้นตัวได้เร็วแค่ไหนก็ต้องดูกัน แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องทำก็คือ การรออกมาตรการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายภาครัฐ การสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจ”เลขาฯ สภาพัฒน์ กล่าว