{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมทั้งผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้เข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ กับผู้บริหารระดับสูงของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) รวมถึงได้หารือทวิภาคีกับผู้แทนจาก
ภาคเอกชน สภาหอการค้าสหรัฐอเมริกา และสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ในห้วงการประชุมประจำปี
สภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ประจำปี 2568 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 14 – 17 ตุลาคม 2568 โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. ความท้าทายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากมุมมองของธนาคารโลกและ IMF
ในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนกับกรรมการจัดการ IMF และการประชุมเต็มคณะของสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและ IMF ผู้แทนจากธนาคารโลกและ IMF มีมุมมองต่อความท้าทายของเศรษฐกิจโลก ดังนี้
IMF รายงานว่า เศรษฐกิจโลกยังคง “ยืดหยุ่น” แม้เผชิญความไม่แน่นอนจากหนี้สาธารณะ ความผันผวนของตลาดการเงิน และการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ และถึงแม้ว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุค “Uncertainty is the new normal” เศรษฐกิจโลกยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัว โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับตัวของภาคเอกชนและการขยายตัวของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ของเศรษฐกิจโลกในอนาคต โดย IMF ได้เสนอแนวนโยบายสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ (1) การเสริมสร้างฐานะการคลังเพื่อเตรียมรับมือความเสี่ยงใหม่ (2) การสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจภายในและระหว่างประเทศ และ (3) การยกระดับศักยภาพการเติบโตระยะยาวผ่านนวัตกรรม เทคโนโลยี และ AI
ส่วนของธนาคารโลกได้รายงานว่า ธนาคารโลกได้ให้ความสำคัญกับ “การสร้างงาน” เป็นภารกิจหลักขององค์กร เพื่อรองรับแรงงานใหม่กว่า 1.2 พันล้านคนทั่วโลกในอีก 10–15 ปีข้างหน้า โดยธนาคารโลกดำเนินงานผ่าน 3 แนวทาง ได้แก่ (1) การร่วมมือกับภาครัฐพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและทักษะแรงงาน(2) การระดมทุนและลดความเสี่ยงให้ภาคเอกชน และ (3) การใช้ฐานความรู้ของธนาคารโลกสนับสนุนการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวในการประชุมร่วมของผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศของกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Joint Governors’ Meeting of the IMF-WBG South East Asia Voting Group: SEA Group) ว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการสร้างงาน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการพัฒนาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการลงทุนและการจ้างงาน ควบคู่กับการยกระดับทักษะแรงงาน (Upskill) เพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่ธาตุ การสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ และการเติบโตอย่างยั่งยืน
2. ความสนใจอย่างต่อเนื่องของภาคเอกชนสหรัฐอเมริกาต่อการลงทุนในประเทศไทย
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าร่วมการประชุมกับสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา – อาเซียน (US – ASEAN Business Council: USABC) และหอการค้าสหรัฐอเมริกา (US Chamber of Commerce) ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำของสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองในประเด็นนโยบายขอประเทศไทยเพื่อสนับสนุนการลงทุนของบริษัทต่างชาติ การดำเนินธุรกิจในประเทศไทย การบริการทางการเงิน และโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวถึงนโยบายในการสนับสนุนการลงทุนและประกอบธุรกิจ และนโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและระบบการเงินสมัยใหม่ โดยเน้นการสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่เข้มแข็ง โปร่งใส และทั่วถึง เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจและนวัตกรรมทางการเงิน พร้อมสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีคลาวด์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของภาครัฐและเอกชน รวมถึงการส่งเสริมการเชื่อมโยงข้อมูลทางเศรษฐกิจอย่างปลอดภัย
นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังยังได้เข้าร่วมการหารือทวิภาคีกับผู้แทนจาก บริษัท PayPal ซึ่งให้เป็นบริษัทบริการทางการเงินระดับโลก และ บริษัท BlackRock บริษัทจัดการลงทุนชั้นนำของโลก เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนระหว่างประเทศ นโยบายด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน และการส่งเสริมระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ปลอดภัย โปร่งใส และทั่วถึง เพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่
3. นโยบายเศรษฐกิจมหภาคและความเชื่อมั่นทางการคลังของไทย
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้หารือกับบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ได้แก่ Moody’s Fitch และ S&P เกี่ยวกับการประมาณการเศรษฐกิจมหภาคของไทย แผนการดำเนินนโยบายการคลังอย่างมีวินัย และแนวทางการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว โดยในการหารือดังกล่าว ฝ่ายไทยได้แสดงถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินนโยบาย Fiscal Consolidation หรือการบริหารฐานะการคลังให้มีความยั่งยืน ผ่านการรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นกับการบริหารรายได้และรายจ่ายของภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว รวมถึงการรักษาระดับหนี้สาธารณะให้อยู่ในกรอบความยั่งยืน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในด้านเสถียรภาพทางการเงินและหนี้สาธารณะ ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารและชำระหนี้ในระดับสูง โดยเฉพาะในส่วนของหนี้เงินตราต่างประเทศซึ่งอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในภูมิภาค โดยหนี้ต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นของภาคเอกชนที่มีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ จึงไม่มีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศ นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้ย้ำว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคในทุกมิติทั้งด้านการคลัง การเงิน และอัตราแลกเปลี่ยน ควบคู่กับการส่งเสริมความโปร่งใสทางการคลัง และการดำเนินนโยบายเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึงในระยะยาว
4. ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาและเสถียรภาพทางการเงิน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการรับมือกับมาตรการกีดกันทางการค้ากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประเทศสมาชิกอื่นและผู้แทนจากธนาคารโลกและ IMF โดย IMF ได้แนะนำให้ประเทศในอาเซียนส่งเสริมความเชื่อมโยงของตลาดทุนและการค้าภายในภูมิภาคให้มากขึ้น พร้อมทั้งเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนจากมาตรการกีดกันทางการค้า
นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เน้นย้ำว่า ประเทศไทยให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อบทบาทของกลไกความร่วมมือทางการเงินระดับภูมิภาค เช่น Chiang Mai Initiative Multilateralisation (CMIM) โดยสนับสนุนให้ CMIM เป็นเครื่องมือที่สร้างระบบคุ้มกันทางการเงินที่เข้มแข็งและยืดหยุ่นต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังได้หารือทวิภาคีกับนาง Brigitte Haas นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังราชรัฐลิกเตนสไตน์ ในประเด็นความร่วมมือภายในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ การเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและราชรัฐลิกเตนสไตน์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการเปิดเจรจาจัดทำความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน (Double Taxation Agreement: DTA) กับประเทศไทย
5. การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการประชุมปี 2569
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้หารือทวิภาคีกับนาง Kristalina Georgieva กรรมการจัดการ IMF และนาย Carlos Felipe Jaramillo รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกถึงความพร้อมของประเทศไทยในการจัดการประชุมระดับโลกดังกล่าว และฝ่ายไทยได้ยืนยันถึงการดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามแผนงานที่ได้วางไว้ นอกจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ให้การต้อนรับผู้บริหารจากทั้งสององค์กร ณ บูธประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและ IMF ปี 2569 ของประเทศไทย ซึ่งการเป็นเจ้าภาพของประเทศไทยในปีหน้าจะเป็นเวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเงิน และการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูมิภาคต่อไป
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS