{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้า 17 ตุลาคม 2568 ที่ระดับ 32.51 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบ ไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.54 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.46-32.57 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งเผชิญปัจจัยกดดันรอบด้าน ทั้ง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด อย่าง ดัชนีภาวะภาคการผลิตอุตสาหกรรม โดยเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ในเดือนตุลาคม ที่ปรับตัวลดลงสู่ระดับ -12.8 จุด แย่กว่าที่ตลาดคาดไปมาก ขณะเดียวกัน ความกังวลต่อประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน ล่าสุด ก็ทำให้บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ในช่วงคืนที่ผ่านมา ส่งสัญญาณสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม (หรือบางท่าน อย่าง Stephen Miran ก็ย้ำจุดยืนสนับสนุนการเร่งลดดอกเบี้ย) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดก็เผชิญความกังวลเพิ่มเติม จากรายงานผลประกอบการของบรรดา Regional Banks ของสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด และสะท้อนถึงความเสี่ยงหนี้เสียที่สูงขึ้น (ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มกังวลว่าจะเกิดปัญหาเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับ Silicon Valley Bank) ส่งผลให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยมองว่า เฟดอาจมีโอกาสเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ได้ในการประชุมที่เหลือของปีนี้ และนอกเหนือจากปัจจัยแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก ทั้งเงินยูโร (EUR) ที่ได้แรงหนุนจากสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสที่ความวุ่นวายอาจลดลงในระยะสั้น หลังนายกฯ Sébastien Lecornu รอดจากการโหวตลงมติไม่ไว้วางใจ 2 ครั้ง ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็แข็งค่าขึ้น จากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ล่าสุด ที่ยังทำให้ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า BOJ ยังมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ได้ อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ดูจะถูกชะลอลงบ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ อย่าง น้ำมันดิบ หลังราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน แม้ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทว่า ผู้เล่นในตลาดก็ยังไม่รีบทยอยขายทำกำไรและบางส่วนก็เข้าซื้อทองคำบ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันเงินบาท
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น จากทั้งประเด็นเดิม อย่างความไม่แน่นอนของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ภาวะ Government Shutdown ที่ดูยืดเยื้อ และประเด็นล่าสุด อย่าง รายงานผลประกอบการของบรรดา Regional Banks ที่ออกมาแย่กว่าคาด และสะท้อนความเสี่ยงหนี้เสียที่สูงขึ้น ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Nvidia +1.1% ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.63% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -0.47%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อ +0.69% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นฝรั่งเศส (ดัชนี CAC40 พุ่งขึ้น +1.38%) หลังความวุ่นวายของการเมืองฝรั่งเศสดูจะคลี่คลายลงได้ในระยะสั้น จากการที่นายกฯ Sébastien Lecornu รอดจากการโหวตลงมติไม่ไว้วางใจ 2 ครั้ง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor เช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง สู่ระดับ 3.95% หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะการเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ภายในปีนี้ จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาแย่กว่าคาด รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งสนับสนุนการเร่งลดดอกเบี้ยในจากประเด็นสงครามการค้าสหรัฐฯ – จีน รวมถึง ความกังวลต่อผลประกอบการของบรรดา Regional Banks ที่กดดันบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ทั้งนี้ แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวลดลง มากกว่าที่เราประเมินไว้ แต่เราขอเน้นย้ำว่า ควรระวังว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อาจปรับเปลี่ยนไปได้อย่างมีนัยสำคัญ หากผู้เล่นในตลาดได้ทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ หรือ พัฒนาการของประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้เล่นในตลาดได้ต่างคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปมากแล้ว (ซึ่งล่าสุด เริ่มมีการคาดหวังถึงการเร่งลดดอกเบี้ย 50bps) โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากทั้งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาแย่กว่าคาด ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยและบางส่วนก็สนับสนุนการเร่งลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินหลัก อย่าง เงินยูโร (EUR) หลังสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสดูจะวุ่นวายน้อยลงในระยะสั้น ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่โซน 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.2-98.7 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนของประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ - จีน กอปรกับ การปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งทำให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวลดลง ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) พุ่งสูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ แถวโซน 4,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลักดังกล่าว
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้เราจะคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง แต่เรายอมรับว่า โมเมนตัมของเงินบาทได้อ่อนค่าลงมากขึ้น หลังเงินดอลลาร์ยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ เนื่องจากการปรับตัวขึ้นแรงล่าสุดของราคาทองคำ กลับไม่ได้ช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปมาก ซึ่งอาจสะท้อนว่า Correlation Trade ระหว่างเงินบาทกับทองคำ ที่เคยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้ลดลงไปพอสมควร (อาจเป็นไปได้ว่า ผู้เล่นในตลาดอย่าง กลุ่ม Systematic Hedge Funds อาจลดความสนใจ Correlation Trade ดังกล่าวลง) และอาจสะท้อนว่า โฟลว์ธุรกรรมในตลาดที่เกี่ยวกับทองคำ ในช่วงนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะการทยอยเข้าซื้อทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น จากปกติที่ผู้เล่นในตลาดจะทยอยขายทำกำไรทองคำ (อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ยิ่งราคาทองคำปรับตัวขึ้น จะเกิดโฟลว์ธุรกรรม FOMO Buy ไล่ราคาซื้อทองคำ ซึ่งอาจกดดันเงินบาทได้)
และหากประเมินจากการปรับตัวขึ้น เร็ว แรง ของราคาทองคำล่าสุด ซึ่งปรับตัวขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว (ซึ่งเราใช้เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน) ถึง +33% ทำให้ เรายังคงมีความกังวลว่า หากราคาทองคำปรับตัวลงและเข้าสู่ช่วงการปรับฐาน ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงได้ไม่ยาก
นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดได้คาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปมากแล้ว ทำให้ควรต้องระวังความเสี่ยงที่ผู้เล่นในตลาดอาจปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง เมื่อรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงพัฒนาการของประเด็นความขัดแย้งทางการค้าสหรัฐฯ กับจีน และสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่น (ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเงินเยนญี่ปุ่นพอสมควร) ซึ่งอาจหนุนการรีบาวด์ขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ได้ และอาจกลับมาเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าในระยะข้างหน้า หรืออย่างน้อยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท
อนึ่ง เรามองว่า เงินบาทอาจยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าได้ จนกว่าเงินบาทจะสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เมื่อประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following โดยหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อได้ ก็อาจเผชิญแนวต้านแถวโซน 32.80-32.85 บาทต่อดอลลาร์ และจะมีโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านสำคัญถัดไป ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด แต่หากเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจน ก็จะมีโซนแนวรับในช่วง 32.30 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับสำคัญถัดไป
และที่สำคัญเราขอย้ำว่า ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมถึงความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
พูน พานิชพิบูลย์
นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน
Krungthai GLOBAL MARKETS
ธนาคารกรุงไทย
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS