{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้า 8 ตุลาคม 2568 ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.53 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.43-32.55 บาทต่อดอลลาร์) โดยผู้เล่นในตลาดต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ ในช่วงเงินบาทอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ส่งผลให้การอ่อนค่าของเงินบาทถูกจำกัดลง แม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ยังคงเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนล่าสุดได้อ่อนค่าทะลุโซน 152 เยนต่อดอลลาร์ ที่น่าสนใจ คือ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ กลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ (XAUUSD) โดยราคาทองคำยังคงสามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้น เข้าใกล้โซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางประเด็นการเมืองทั้งในฝั่งสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ซึ่งประเด็นการเมืองดังกล่าวก็ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักอีกครั้ง ดังจะเห็นได้จากการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวในหลายประเทศ อนึ่ง การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงนี้ เราเริ่มเห็นแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด (การไล่ราคาซื้อทองคำอาจชะลอลง) เนื่องจากราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นสู่โซนแนวต้านจิตวิทยา 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งแรงขายทำกำไรทองคำดังกล่าวก็มีส่วนช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท จากการทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาย่อตัวลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรหุ้นธีม AI/Semiconductor โดยเฉพาะ Oracle -2.5% หลังมีกระแสข่าวว่า ผลกำไรของบริษัทในส่วนของธุรกิจ Cloud Computing (ในส่วนการเช่า GPU-server) แต่หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ กลับไม่ได้ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.38% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -0.67%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ยังคงปรับตัวลดลง -0.17% ตามแรงขายหุ้นธีม AI/Semiconductor เช่นเดียวกันกับฝั่งสหรัฐฯ อาทิ ASML -2.5% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรป พอได้แรงหนุนบ้าง จากการรีบาวด์ขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม ซึ่งเผชิญแรงขายหนัก โดยเฉพาะ LVMH +3.6% จากความกังวลสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสในวันก่อน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาย่อตัวลงสู่โซน 4.13% ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ทว่า การปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็เป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงเผชิญภาวะ Data Blindness เนื่องจากรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ อย่าง Nonfarm Payrolls ถูกเลื่อนประกาศจากภาวะ Government Shutdown เรามองว่า ในช่วงนี้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในกรอบ Sideways แต่จะกลับมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน อีกครั้ง เมื่อรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงาน ซึ่งต้องระวังว่า ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หนุนโดยการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ล่าสุดได้อ่อนค่าลงทะลุโซน 152 เยนต่อดอลลาร์ รวมถึงการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด ที่อาจทยอยลดสถานะ Long JPY (มองเงินเยนแข็งค่าขึ้น) รวมถึงลดสถานะ Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง) เช่น ปรับลดสถานะ Long EUR (มองเงินยูโรแข็งค่าขึ้น) ทำให้ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 98.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.3-98.7 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลประเด็นเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักอีกครั้ง หนุนให้ ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะหลบความเสี่ยงในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง ทองคำ กอปรภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ส่งผลให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่โซน 4,020 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางดังกล่าว นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานการประชุม FOMC ของเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด
ส่วนในฝั่งไทย ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยเรามองว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งนี้ กนง. อาจตัดสินใจคงดอกเบี้ยที่ระดับ 1.50% (สวนทางกับคาดการณ์ของตลาดและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ที่มองว่า กนง. จะมีมติลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 1.25%) แต่ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น โดย กนง. อาจรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และภาวะ Government Shutdown ของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงรอติดตามข้อมูลอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 เสียก่อน และที่สำคัญ ในการประชุม กนง. ครั้งก่อน ได้มีการเน้นย้ำถึงการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะปานกลางและขีดความสามารถของนโยบายการเงินที่มีอย่างจำกัด ทำให้ เรามองว่า การเลือกที่จะคงดอกเบี้ยไปก่อน อาจเป็นทางเลือกที่มีความน่าสนใจกว่าในขณะนี้ อนึ่ง เรายอมรับว่า กนง. ก็อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้ลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 1.25% ในการประชุมครั้งนี้ ได้เช่นกัน แต่ไม่ว่า กนง. จะลดดอกเบี้ย หรือคงดอกเบี้ย ตามที่เราประเมิน ก็อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดได้ต่างคาดหวังว่า กนง. จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.00% ได้ในปีหน้า
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown รวมถึงสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส หลังนายกฯ ประกาศลาออก
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ และเงินบาทได้กลับสู่แนวโน้มอ่อนค่าลง (อย่างน้อยในระยะสั้น) และอาจต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า เงินบาทจะสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจนหรือไม่ เพราะการอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าว อาจยิ่งกดดันเงินบาทเพิ่มเติม ผ่านการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจนและต่อเนื่อง อาจไม่ได้ง่ายนัก เนื่องจากบรรดาผู้เล่นในตลาด อย่าง ฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านดังกล่าว อนึ่ง หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้สำเร็จ ก็มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงต่อเนื่องทดสอบโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้
นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจเลือกที่จะรอลุ้น ผลการประชุม กนง. ไปก่อนได้ ทำให้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทอาจมีลักษณะอยู่ในกรอบ Sideways
โดยหาก กนง. คงดอกเบี้ย ตามที่เราประเมินไว้ แต่ยังคงส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มเติมในอนาคต เปิดทางการลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม หรือต้นปีหน้า (Dovish Hold) ก็อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินอย่างมีนัยสำคัญ โดยเรามองว่า บอนด์ยีลด์ไทยรวมถึงอัตราดอกเบี้ย THOR มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ส่วนการเคลื่อนไหวของเงินบาทนั้น จะขึ้นกับฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติว่าจะเลือกขายสินทรัพย์ไทยไปก่อนหรือไม่ โดยหากนักลงทุนต่างชาติเลือกที่จะทยอยขายสินทรัพย์ไทยไปก่อน ก็อาจเป็นความเสี่ยงด้านอ่อนค่าต่อเงินบาทบ้าง ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทจะยังคงจำกัดอยู่ ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้เล่นในตลาด และยังไร้ปัจจัยกดดันที่ชัดเจน จากปัจจัยภายนอกที่สำคัญ อย่าง แนวโน้มเงินดอลลาร์
ในทางกลับกัน หาก กนง. ลดดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาด พร้อมส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ เรามองว่า ภาพดังกล่าวเป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้แล้ว ก็อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังคงต้องติดตามฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ว่าจะเลือกขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยไปก่อนหรือไม่ ในขณะที่ หาก กนง. ลดดอกเบี้ยตามคาด แต่กลับไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในอนาคต (Hawkish Cut) ซึ่งมีโอกาสเกิดต่ำ เรากังวลว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยไปก่อน กดดันให้เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงได้บ้าง
และในกรณีสุดท้าย หาก กนง. เซอร์ไพรส์ตลาด ด้วยการเร่งลดดอกเบี้ย 50bps สู่ระดับ 1.00% พร้อมระบุโอกาสการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ซึ่งมีนักวิเคราะห์ต่างชาติประเมินถึงโอกาสเกิดภาพดังกล่าวบ้าง เรามองว่า บอนด์ยีลด์ไทยมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อ พร้อมผู้เล่นในตลาดที่จะเริ่มคาดหวังว่า กนง. อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ต่ำกว่าระดับ 1.00% ที่ประเมินล่าสุด ซึ่งภาพดังกล่าว อาจยังพอหนุนให้ บรรดานักลงทุนต่างชาติกลับเข้าซื้อบอนด์ไทยได้บ้าง ทำให้สุดท้าย เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าลงชัดเจน จากการเร่งลดดอกเบี้ยดังกล่าว กลับกัน เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นบ้าง ซึ่งสอดคล้องกับสถิติในอดีต ในช่วงที่ กนง. มีการเร่งลดดอกเบี้ย หรือ มีการลดดอกเบี้ยสวนทางกับคาดการณ์ของตลาด
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.65 บาท/ดอลลาร์
พูน พานิชพิบูลย์
นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน
Krungthai GLOBAL MARKETS
ธนาคารกรุงไทย
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS