{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ผ่อนคลายเพิ่มเติมจากผลกระทบ ขอมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ภาวะการเงินยังตึงตัว เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ
กนง. มีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 1.50% ต่อปี ในการประชุมครั้งที่ 4/2568 โดยเป็นการลดลงครั้งที่ 3 ของปี 2568 มีสาระสำคัญดังนี้
เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้จากการประชุมครั้งก่อน โดยครึ่งปีแรกยังคงได้รับแรงหนุนจากการส่งออกกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ส่งผลดีบางส่วนต่อภาคการผลิต อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มชะลอลงจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะแนวทางการจัดเก็บภาษี transshipment การลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ตามการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น และการบริโภคที่ขยายตัวต่ำจากความเชื่อมั่นที่ลดลง
· กนง. กังวลมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซ้ำเติมปัญหาความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย โดยเฉพาะ SMEs
· โดยเศรษฐกิจบางภาคส่วนมีความเปราะบางมากขึ้นโดยเฉพาะ SMEs ที่มีบทบาทต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลงหลัง COVID-19 ทั้งภาคบริการและภาคการผลิต SMEs ซึ่ง กนง. คาดว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มเติมจะช่วยให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบางให้สามารถรับมือกับระเบียบการค้าใหม่ของโลกและความท้าทายที่ซับซ้อนในระยะข้างหน้า
ภาวะการเงินของไทยยังคงมีความตึงตัว สะท้อนจากสินเชื่อที่ยังอยู่ในช่วง deleveraging โดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ จากความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูง ประกอบกับการชำระคืนหนี้ที่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปรับลดลงจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
· ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไป กนง. ประเมินว่ายังมีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมาย จากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก โดยราคาอาหารสดปรับลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และราคาหมวดพลังงานที่โน้มลงตามราคาน้ำมันดิบโลก โดยระยะข้างหน้าราคาอาหารสดและพลังงาน ซึ่งมีสัดส่วน 30% ของตะกร้าสินค้า มีแนวโน้มปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
· อย่างไรก็ดี กนง. มองว่าปัจจุบันยังไม่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเงินฝืด เนื่องจากราคาสินค้าและบริการไม่ได้ลดลงเป็นวงกว้าง อีกทั้ง อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) มีแนวโน้มทรงตัว โดยเงินเฟ้อที่ต่ำบางส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนและต้นทุนของธุรกิจ
Implication:
Krungthai COMPASS คาดว่า กนง. อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมสู่ระดับ 1.25% เพื่อบรรเทาผลกระทบจากข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลอย่างเต็มที่ในช่วงปี 2569 โดยเฉพาะภาษี transshipment ที่ปัจจุบันยังไม่มีแนวทางดำเนินการที่ชัดเจน โดย Krungthai COMPASS คาดว่า GDP ปี 2568 จะขยายตัวที่ 2% นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยงหลังหลายประเทศยังต้องประเมินผลกระทบจากข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ อีกทั้ง ผลกระทบของการขึ้นภาษีต่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่อาจกลับมาเร่งตัวขึ้น ซึ่งจะกระทบต่ออุปสงค์โลก ท่ามกลางความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risk ) ซึ่งคาดการณ์ได้ยาก
·จึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการประคับประคองเศรษฐกิจ เพื่อเร่งปรับตัวรับกับความท้าทายครั้งสำคัญจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและห่วงโซ่อุปทานโลก หลังกติกาการค้าโลกพลิกผันครั้งใหญ่ซึ่งจะนำไปสู่การแข่งขันรูปแบบใหม่
· ในระยะข้างหน้าต้องติดตามความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน หลัง กนง. ลดดอกเบี้ย ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ประกอบการเพิ่มเติม หลังการประกาศอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่แม้จะลดความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าและหนุนให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่า แต่คาดว่าหลายประเทศจะเร่งออกมาตรการบรรเทาผลกระทบ และส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนจึงเป็น cushion สำคัญในการปกป้อง margin ของธุรกิจที่อยู่ในช่วงเปราะบาง
· นอกจากนี้ ยังต้องติดตามมาตรการกำกับอัตราแลกเปลี่ยนที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินที่ออกจากปัจจัยพื้นฐาน อาทิ การส่งออกนำเข้าทองคำ ที่ในระยะหลังความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำและค่าเงินบาทปรับสูงขึ้น ประกอบกับไทยเกินดุลการชำระเงินจาก errors & omissions สูงขึ้นซึ่งอาจสะท้อน unknown activity ที่เกี่ยวกับทอง
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS