InnovestX ชี้ไตรมาส 3/2568 เศรษฐกิจไทยเปราะบาง-สงครามการค้าไม่จบ แนะกลยุทธ์ลงทุนเน้นสินทรัพย์คุณภาพ

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) เรือธงด้านการลงทุนภายใต้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX Group) ประเมินเศรษฐกิจโลกไตรมาส 3/2568 ยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะ “Mild Stagflation” เงินเฟ้อที่ยังสูงในสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังเปราะบางจากหนี้ครัวเรือน การเมือง และการบริโภคที่ชะลอตัว คาดว่า ธปท. อาจลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้เพื่อพยุงเศรษฐกิจ โดย InnovestX คงเป้า SET ที่ 1,250 จุด แนะจุดเข้าซื้อต่ำกว่า 1,100 จุด

สำหรับตลาดต่างประเทศ แนะนำกระจายพอร์ตอย่างรอบคอบ จากมุมมองต่อ upside ที่จำกัด และความผันผวนที่ยังสูง โดยเน้นกลุ่มหุ้นคุณภาพที่มีรายได้และกำไรเติบโตอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะกลุ่มเชิงรับ สาธารณูปโภคและกลุ่มสื่อสาร นอกจากนั้นตลาดเกิดใหม่ในเอเชียบางประเทศยังคาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ต่อ กลยุทธ์หลักคือการกระจายความเสี่ยงผ่านสินทรัพย์คุณภาพ เพื่อรับมือความผันผวนและสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนในระยะยาว

นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เผยมุมมองเศรษฐกิจประจำไตรมาส 3/2568 ว่า “แนวโน้มตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3/2568 ประเมินความเสี่ยงทางลงมีจํากัด แต่ Upside ก็ไม่มาก แม้สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าหลักจะเริ่มคลี่คลาย แต่ยังคงเป็นความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความผันผวนได้ต่อ จากนโยบายที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้อย่างฉับพลัน ด้านเศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายในหลายด้าน ได้แก่ ความไม่แน่นอนด้านการค้า การท่องเที่ยวที่ยังชะลอตัว ความเปราะบางของภาคเกษตร การเมืองที่ยังมีความไม่แน่นอน หนี้ครัวเรือนในระดับสูงและการลงทุนภาคเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ ธปท. มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจที่ถูกกดดันจากปัจจัยดังกล่าว การกระจายพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพยังเป็นหัวใจหลักของการลงทุนในภาวะที่ตลาดมี upside ไม่มาก แต่มีความผันผวนสูง”

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “สำหรับไตรมาสนี้ คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเผชิญความเสี่ยงต่อเนื่องจากสงครามการค้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอลงจากผลกระทบภาษีศุลกากร Fed คาดจะไม่ลดดอกเบี้ยและเงินเฟ้อจะเพิ่มสู่ 3.6% แต่ทั้งนี้ ต้องจับตาเงินเฟ้อ การบริโภค และการจ้างงานใกล้ชิด ส่วนจีนแม้จะมีแนวโน้มชะลอแต่มาตรการกระตุ้นจะช่วยพยุง และไทยเผชิญความเสี่ยงหลายด้านโดยเฉพาะอัตราภาษี Reciprocal Tariff ที่ประกาศ ณ วันที่ 7 กรกฎาคม ทำให้มีความเสี่ยงต่อประมาณการ GDP ของไทยในปีนี้ที่ 1.4% (สมมุติฐานภาษี Reciprocal Tariff ที่ 15%) อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ เรามองว่า ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-เวียดนามเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 อาจเป็นฐานสำหรับการเจรจาการค้าของไทย โดย (1) ไทยอาจต้องลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 0% เช่นเดียวกับเวียดนาม และ (2) ไทยจะต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้นอีกมาก โดยหากการเจรจาสำเร็จ และทำให้ภาษีลดลงเหลือ 15-20% GDP จะเติบโต 1.1-1.4% ในปี 2025 (ความน่าจะเป็น 30%) แต่หากภาษี 21-28% GDP จะขยายตัว 1.0-0.0% (ความน่าจะเป็น 50%) ส่วนในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากต้องเผชิญภาษี 29-36% GDP อาจหดตัวที่ (-0.1%)- (-1.1%) (ความน่าจะเป็น 20%)

ด้าน นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “ InnovestX ยังคงเป้าหมายดัชนี SET Index ปี 2568 ที่ระดับ 1,250 จุด โดยมองว่า ระดับต่ำกว่า 1,100 จุดเป็นจุดเข้าซื้อที่น่าสนใจ การฟื้นตัวของตลาดยังต้องอาศัยนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย การเร่งลงทุนภาครัฐ และเสถียรภาพของสภาพคล่องในระบบ กลยุทธ์สำคัญสำหรับช่วงไตรมาส 3 คือการคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ทั้งในด้านงบดุล รายได้ที่หลากหลาย Valuation ที่เหมาะสม และโอกาสรับอานิสงส์จากเมกะเทรนด์การลงทุนในประเทศและการค้าโลกที่ฟื้นตัว

“ในฝั่งตลาดต่างประเทศ เราเน้นกระจายการลงทุนในกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตมั่นคง การเพิ่มการลงทุนด้านการทหาร ลดน้ำหนักเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ที่เริ่มชะลอ พร้อมเน้นธีม Domestic Play โดยเฉพาะเอเชีย ซึ่งจีนยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

ขณะที่ ดร. รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ หัวหน้าฝ่าย Investment Strategy และฝ่าย Trading Product Specialist บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “กลยุทธ์หลักในการลงทุนไตรมาส 3/2568 คือ ‘การจัดพอร์ตอย่างสมดุล’ โดยกระจายการลงทุนในหลายประเภทสินทรัพย์และภูมิภาค เพื่อกระจายความเสี่ยง รับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน ทั้งจากภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายการเงิน และทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในฝั่งสินทรัพย์ปลอดภัย ทองคำ ยังคงน่าสนใจจากแรงซื้อสะสมของธนาคารกลางทั่วโลกและการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ตราสารหนี้ แนะนำลงทุนใน Duration ระยะสั้น (< 2 ปี) ที่มีความยืดหยุ่นและรับมือกับความเสี่ยงเงินเฟ้อได้ดีกว่าตราสารระยะยาว ตราสารทุน ยังคงเน้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (EM) และหุ้นนอกสหรัฐฯ (Ex-US) โดยเฉพาะเวียดนามและจีนที่มีแนวโน้มฟื้นตัว และยังมี Valuation ที่น่าสนใจ ขณะที่แนะจับตาหุ้นยุโรป จากสัญญาณการฟื้นตัวทั้งจากเศรษฐกิจในปีนี้และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปีหน้า

ผลิตภัณฑ์กองทุนแนะนำประจำไตรมาส 3/2568 สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตในธีมต่างประเทศที่มีศักยภาพเติบโต ได้แก่ UOBSG-H ที่ลงทุน SPDR Gold Shares ETF ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน DAOL-CHINATECH ที่ชูธีมหุ้นเทคจีนชั้นนำอย่าง Xiaomi และ Tencent, PRINCIPLE VNEQ-A กองทุนแรกของไทยที่ลงทุนในหุ้นเวียดนามคุณภาพดี และ LHHEALTH-A เน้นกลุ่มการแพทย์ทั่วโลกที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ราคาปรับลงอยู่ในจุดที่น่าสนใจ รวมถึง DR HSHD23 ที่ลงทุนในหุ้นจีนชั้นนำ 50 ตัว อิงดัชนี Hang Seng High Dividend Yield ปันผลสูงเฉลี่ย 6-8% ต่อปี Bottom of Formตอบโจทย์ทั้งการเติบโตและการป้องกันความผันผวนในระยะยาว”


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment