{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
คุณแบร์รี่ วอล์ฟแมน Senior Executive Director of Operations โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้กล่าวเปิดงานแถลงข่าว “Move Freely, Live Fully”At the Advanced Arthritis & Arthroplasty Center (AAA), we help patients regain mobility and a good quality of life โดยเน้นย้ำถึงสถานการณ์ในประเทศไทยที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ ด้วยสัดส่วนผู้สูงอายุสูงถึง 20.7% ของประชากร หรือคิดเป็น 13.65 ล้านคน ทำให้โรคข้อเสื่อม ซึ่งสัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ้น กลายเป็นปัญหาสำคัญที่ทวีความรุนแรงขึ้น หนึ่งในโรคที่พบบ่อยในกลุ่มผู้สูงวัยคือ “ข้อเสื่อม” โดยเฉพาะที่ข้อเข่าและข้อสะโพก แม้โรคนี้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และด้วยความมุ่งมั่นที่จะคืนคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้ป่วย โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์จึงได้ก่อตั้ง “ศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์” โดยมี ศ.นพ. อารี ตนาวลี เป็นหัวหน้าศูนย์ฯ พร้อมด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย อาทิ หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด และเทคนิคการผ่าตัดแผลเล็กที่ผสานกับการคุมปวดแบบพิเศษ เพื่อมอบทางเลือกการรักษาที่ครอบคลุม ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นไปจนถึงเคสยากและมีความซับซ้อนสูง
โดยในปีนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับการจัดอันดับจาก Newsweek ให้เป็น “Asia’s Top Private Hospitals 2025” อันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชีย จาก 90 โรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุด ทั้งด้าน การผ่าตัดเข่าและผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม รวมถึง การผ่าตัดสะโพกและผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม นับเป็นความภูมิใจอย่างมาก และความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในการพัฒนาการรักษาอย่างต่อเนื่องภายใต้การทำงานร่วมกันของทีมแพทย์และสหสาขาวิชาชีพ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และเหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพอีกครั้ง
ศ.นพ. อารี ตนาวลี แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์กระดูกและข้อ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม และหัวหน้าศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ปัญหาโรคข้อเข่าและข้อสะโพกเสื่อมไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัยทำงานที่มีพฤติกรรมใช้ชีวิตแบบนั่งนาน ไม่ค่อยขยับร่างกาย หรือเล่นกีฬาผิดท่า ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจเร่งให้เกิดภาวะข้อเสื่อมเร็วขึ้นได้ ทำให้ปัญหาข้อเสื่อมกลายเป็นเรื่องของคนทุกวัย และหากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ ความเสื่อมจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่ติดขัด ข้อผิดรูป และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก
ศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์ (AAA - Advanced Arthritis & Arthroplasty Center) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยอย่างครอบคลุม ด้วย ทีมศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยทำงานร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ ภายใต้ระบบ Case Conference เพื่อร่วมกันวางแผนการรักษาอย่างแม่นยำ และมี Monthly Monitoring Meeting เพื่อพัฒนาแนวทางการรักษาและคุณภาพการบริการอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ ศูนย์ฯ ยังใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น การผสมผสานเทคนิคการผ่าตัดแบบแผลเล็ก (MIS) ร่วมกับเทคนิคคุมปวดแบบพิเศษ (Minimal Pain Arthroplasty) ที่เรียกว่า Opioid-Free Anesthesia ที่ลดหรือไม่ใช้มอร์ฟีนเลย ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่ช่วยลดความเจ็บปวดหลังผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว สามารถลุกเดินได้ภายใน 10 ชั่วโมง และกลับไปใช้ชีวิตได้โดยเร็วที่สุด โดยศูนย์ฯ มี ระบบการฟื้นฟูหลังผ่าตัดที่ชัดเจน (Milestone Recovery Program) ซึ่งเน้นย้ำ 3 เกณฑ์หลักก่อนผู้ป่วยกลับบ้าน ได้แก่ ความปลอดภัยสูงสุด (Patient Safety) การฟื้นฟูให้เคลื่อนไหวได้ดี (Patient Ability) และสร้างความมั่นใจในการกลับไปใช้ชีวิต (Patient Confidence) เพื่อผลลัพธ์การรักษาที่มีคุณภาพและยั่งยืน
นพ. ชาลี สุเมธวานิชย์ แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์กระดูกและข้อ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้กล่าวถึงความสำคัญของ การผ่าตัดข้อเข่าและข้อสะโพก ในกรณีที่มีความซับซ้อนสูง (Complex Primary Joint Replacement) ซึ่งต้องอาศัยทั้งประสบการณ์อันยาวนานของศัลยแพทย์ และการวางแผนการผ่าตัดที่แม่นยำในทุกมิติ โดยเคสเหล่านี้มักมีความท้าทายอย่างมาก เช่น ผู้ป่วยที่มีข้อสะโพกหลุดตั้งแต่กำเนิด ข้อเข่าหรือข้อสะโพกผิดรูปจากอุบัติเหตุหรือเป็นมาตั้งแต่เด็ก และกรณีที่กระดูกบางหรือมีมวลกระดูกน้อย ทำให้ต้องใช้เทคนิคพิเศษในการยึดข้อเทียม หรือข้อที่มีพังผืดหนาแน่นหรือเคยติดเชื้อมาก่อน ซึ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการเลือกวัสดุและการลดความเสี่ยงการติดเชื้อซ้ำ รวมถึงข้อที่มีภาวะยืดหยุ่นผิดปกติ ที่เสี่ยงต่อการเคลื่อนหรือหลุดของข้อเทียม ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญในการจัดการกับความท้าทายเหล่านี้โดยเฉพาะ
นอกจากนี้ การผ่าตัดซ่อมเสริมหรือเปลี่ยนข้อเทียมใหม่ (Revision Joint Replacement Surgery) จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ถึงแม้ข้อเข่าและข้อสะโพกเทียมจะมีอัตราการอยู่รอดสูงถึง 95% ในช่วง 10-15 ปี แต่เมื่อเวลาผ่านไป ข้อเทียมเดิมอาจเกิดปัญหา เช่น หลวม เคลื่อน ติดเชื้อ หรือกระดูกรอบข้อหัก การผ่าตัดครั้งที่สองนี้จึงมีความซับซ้อนกว่าครั้งแรกมาก เนื่องจากต้องเลาะเนื้อเยื่อเก่า ระมัดระวังพังผืดที่เกิดขึ้น รวมถึงรับมือกับกระดูกที่อาจเสียหายและความเสี่ยงติดเชื้อ ซึ่งศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีความพร้อมทั้งบุคลากร เทคโนโลยี และระบบการดูแลที่เป็นมาตรฐาน ตั้งแต่การเตรียมพร้อมก่อนผ่าตัดไปจนถึงการควบคุมภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคง ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด
ผศ.นพ. สีหธัช งามอุโฆษ แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์กระดูกและข้อ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ เทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic-Assisted Joint Replacement) ในการรักษาผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม โดยเฉพาะการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม (THR) การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมบางส่วน (UKA) และการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด (TKA) การนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์เข้ามาช่วยผ่าตัดนี้ ไม่เพียงแต่ช่วย เพิ่มความแม่นยำในการวางตำแหน่งของข้อเทียม และ ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ผู้ป่วยบาดเจ็บน้อย เสียเลือดน้อย ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันของหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดกับ เทคโนโลยี CT 3D Pre-Operative Planning ยังช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนและดำเนินการผ่าตัดได้แม่นยำยิ่งขึ้น ทั้งในการวางข้อเทียมและการกรอกระดูกเฉพาะที่จำเป็น ซึ่งช่วยลดการสูญเสียเลือด ยืดอายุการใช้งานของข้อเทียม และนำไปสู่ผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยในยุคปัจจุบันและอนาคต
นพ. สุรพจน์ เมฆนาวิน แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์กระดูกและข้อ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวถึงแนวทางการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวมและเฉพาะบุคคล (Seamless Patients Journey and Personalized Care) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การวินิจฉัยไปจนถึงการฟื้นฟูและติดตามผล เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัย ฟื้นตัวไว ลดภาวะแทรกซ้อน และลดระยะเวลาการพักฟื้นในโรงพยาบาล ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและความเครียดของผู้ป่วยได้อย่างมาก ผลลัพธ์ทางคลินิกที่โดดเด่นสะท้อนถึงคุณภาพการรักษา ไม่ว่าจะเป็น อัตราการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด เพียง 0.69% (เทียบกับโรงพยาบาลชั้นนำในสหรัฐอเมริกา 1.03%) อัตราการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำระหว่างการรักษาในโรงพยาบาล อยู่ที่ 0.40% (เทียบกับโรงพยาบาลชั้นนำในสหรัฐอเมริกา 1.62%) และ อัตราการกลับมาผ่าตัดซ้ำภายใน 30 วัน อยู่ที่ 0% (เทียบกับโรงพยาบาลชั้นนำในสหรัฐอเมริกา 1.18%) นอกจากนี้ ทางศูนย์ฯ ยังมีเป้าหมายให้ผู้ป่วยสามารถลุกเดินด้วยตนเองโดยใช้อุปกรณ์ช่วยเดินในระยะทางอย่างน้อย 15 เมตร ภายใน 3 วันหลังการผ่าตัด ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการคืนคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วยได้อย่างยั่งยืน
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS