NEO ปิดยอดขาย Q1/2568 สูง 2,589 ล้าน กำไร 256 ล้าน

นีโอ คอร์ปอเรท หรือ NEO เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ด้วยยอดขาย 2,589 ล้านบาท เติบโต 4.7% YoY กำไร 256 ล้านบาท เติบโต 6.7% QoQ

นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบิษัทไตรมาส 1 ปี 2568 มียอดขาย 2,589 ล้านบาท เติบโต 4.7% YoY จากการเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ส่วนยอดขายต่างประเทศโต 10.3% YoY พร้อมผลกำไร 256 ล้านบาท เติบโต 6.7% QoQ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของ NEO ในการรักษาอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายรวมเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ซึ่งเติบโตจากปีก่อนหน้า 6.0% 5.7% และ 2.1% ตามลำดับ การเติบโตของยอดขายส่วนใหญ่มาจากผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้า และผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มภายใต้แบรนด์ Fineline ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ และครีมบำรุงผิว ภายใต้แบรนด์ BeNice ซึ่งนับเป็นความสำเร็จจากการเปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวภายใต้แบรนด์ BeNice ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2567 เป็นต้นมา ในขณะที่ D-nee มีการเติบโตในทิศทางที่ดี ส่วนหนึ่งจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ D-nee deluxe ตามกลยุทธ์ Segment Creator เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ นอกจากนี้ ยอดขายสินค้าพรีเมียมแมสเติบโตถึง 34% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว คิดเป็นสัดส่วน 5% ของยอดขายรวม

ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลักดันสินค้าพรีเมียมสำหรับกลุ่ม Silver Age ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด ในขณะเดียวกัน ยอดขายจากต่างประเทศสามารถฟื้นตัวเติบโต 10.3% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากการขยายแบรนด์สินค้า และเพิ่ม SKU ใหม่ๆ เข้าไปในประเทศส่งออกหลัก รวมทั้งปรับปรุงและขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพและครอบคุลมพื้นที่มากขึ้น

สำหรับทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 นีโอ คอร์ปอเรท วางแผนที่จะเดินหน้าขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยได้ดำเนินการลงทุนเพื่อขยายโรงงานและการผลิตแบบแบ่งเป็นเฟส สอดคล้องกับแผนการเติบโตที่วางไว้ เพื่อเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงและลดภาระทางการเงินจากการลงทุนขนาดใหญ่ในคราวเดียว โดยจัดสรรค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) ในปี 2568 ไว้ที่ 2,300-2,500 ล้านบาท ประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารและโรงงานสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ซึ่งแล้วเสร็จไปเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 เตรียมเปิดใช้งานเต็มรูปแบบภายในปีนี้ และการก่อสร้างโรงงานสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน เฟสหนึ่ง ซึ่งเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2569 ตามด้วยเฟสสองที่จะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2571

ขณะเดียวกัน บริษัทยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านช่องทาง e-commerce ซึ่งมีการเติบโตถึง 33% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรงและตอบสนองต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเพิ่มจำนวน live streaming และการส่งเสริม Affiliate Marketing เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กลงเพื่อตอบสนองต่อสภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น เช่น Fineline น้ำยาซักผ้า ขนาด 140 มล. และน้ำยาปรับผ้านุ่ม ขนาด 150 มล. ซองเล็กราคาเริ่มต้น 20 บาท ช่วยให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment