ค่าเงินบาทเปิดเช้า 24 มีนาคม 2568 ที่ระดับ 33.89 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้า 24 มีนาคม 2568 ที่ระดับ 33.89 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 33.87 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.83-33.96 บาทต่อดอลลาร์) โดยในช่วงแรก เงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากแรงขายทำกำไรสถานะ Long บรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งยังคงสนับสนุนแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเฟด ท่ามกลางภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังดูสดใส อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมกันนั้น ความกังวลต่อนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ยังคงช่วยหนุนเงินดอลลาร์เพิ่มเติม อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำ (XAUUSD) รีบาวด์ขึ้นบ้าง ตามความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งสถานการณ์ตะวันออกกลางและสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กลับมาร้อนแรงขึ้น

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทพลิกอ่อนค่าลง ตามการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ อีกทั้งราคาทองคำก็เผชิญแรงขายต่อเนื่องในช่วงท้ายสัปดาห์

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรจับตารายงานดัชนี PMI จากฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น พร้อมรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ และควรระวัง ความเสี่ยงการเมืองของไทย จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

ฝั่งสหรัฐฯ – แม้ว่าไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ในเดือนกุมภาพันธ์ ทว่าหลังจากที่เฟดได้ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจล่าสุดในการประชุม FOMC เดือนมีนาคม ซึ่งเฟดได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจ ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่จะช่วยสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ โดย S&P Global (Manufacturing & Services PMIs) เดือนมีนาคม รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board (Consumer Confidence) ในเดือนมีนาคม พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด หลังล่าสุด คาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ยังคงสะท้อนว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีหน้า ทว่า Dot Plot ใหม่ก็ดูมีความ “Hawkish” มากขึ้น สะท้อนจากจำนวนเจ้าหน้าที่เฟดหลายท่านเปลี่ยนใจสนับสนุนให้เฟดชะลอการปรับลดดอกเบี้ย (ลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในปีนี้ หรือ คงดอกเบี้ยทั้งปี)

ฝั่งยุโรป – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) เดือนมีนาคม ของยูโรโซนและอังกฤษ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีและยูโรโซน (IFO Business Climate) เดือนมีนาคม รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของอังกฤษ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกุมภาพันธ์ พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดคาดว่า ECB อาจลดดอกเบี้ย ได้อีกราว 2 ครั้ง ในปีนี้ เช่นเดียวกันกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยของ BOE

ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นผ่าน รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) เดือนมีนาคม รวมถึงรายงานอัตราเงินเฟ้อของกรุงโตเกียว (Tokyo CPI) เดือนมีนาคม ซึ่งอาจยังคงสะท้อนว่าอัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดโอกาสให้ BOJ ทยอยเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า BOJ มีโอกาสราว 34% ที่จะขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้

ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาประเด็นการเมือง ซึ่งจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ (No-Confidence Motion) นายกฯ โดยต้องจับตาเสถียรภาพทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลหลังการอภิปรายครั้งนี้ ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลการผลิต ทั้งดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) และอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) ในเดือนกุมภาพันธ์ สำหรับ แนวโน้มเงินบาท นั้น หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following แม้เงินบาทจะทยอยอ่อนค่าลงบ้างในช่วงท้ายสัปดาห์ก่อน ทว่าเงินบาทยังอยู่ในแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น หรือ แกว่งตัว Sideways จนกว่าจะสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ เงินบาทยังมีโซนแนวต้านสำคัญแถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่โซนแนวรับสำคัญจะอยู่ในช่วง 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 33.30 บาทต่อดอลลาร์)

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยต้องจับตาทิศทางเงินดอลลาร์ รวมถึงราคาทองคำที่อาจอยู่ในช่วงพักฐาน (อาจกดดันเงินบาท) ขณะที่ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในส่วนตลาดหุ้นไทย ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ซึ่งต้องจับตาสถานการณ์การเมืองของไทย หลังการอภิปรายไม่ไว้ว่างใจนายกฯ ที่จะถึงนี้

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนบ้าง จากความกังวลแนวโน้มนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และแรงขายทำกำไรบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) ที่แข็งค่าพอสมควรในช่วงที่ผ่านมา ทว่าเงินดอลลาร์อาจเผชิญแรงกดดันได้ หากผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.50-34.25 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.75-34.00 บาท/ดอลลาร์

พูน พานิชพิบูลย์

นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน

Krungthai GLOBAL MARKETS

ธนาคารกรุงไทย


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment