ค่าเงินบาทเปิดเช้า 20 มีนาคม 2568 ที่ระดับ 33.57 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้า 20 มีนาคม 2568 ที่ระดับ 33.57 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.64 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 33.56-33.69 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด ซึ่งผู้เล่นในตลาดได้ปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ เหลือราว 20% ทว่า เงินบาทก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ได้หนุนให้ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ หลังเฟดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% ตามคาด และแม้ว่า คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ใหม่ของเฟด จะยังคงสะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 2 ครั้ง ในปีหน้า จบที่ระดับสูงกว่า 3.00% เล็กน้อย (Longer-run) ไม่ต่างจาก Dot Plot ในการประชุมเดือนธันวาคมปีก่อน แต่เฟดได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจ โดยมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจขยายตัว +1.7% ลดลงจากการประเมินครั้งก่อน (+2.1%) พร้อมปรับคาดการณ์อัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อ PCE สูงขึ้นเป็น 4.4% และ 2.7% ตามลำดับ (คาดการณ์ก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 4.3% และ 2.5%) ซึ่งการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจใหม่ดังกล่าวของเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างยังคงกังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอตัวลง แต่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง) ส่งผลให้บรรดาผู้เล่นในตลาดกลับมาปรับเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ เป็น 64%

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Tesla +4.7%, Alphabet +2.0% ที่ได้อานิสงส์จากการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผลการประชุม FOMC ของเฟดล่าสุด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 64% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq รีบาวด์ขึ้น +1.41% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.08%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.19% หนุนโดยความหวังว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจเดินหน้าทยอยลดดอกเบี้ยได้อีกราว 2 ครั้ง ในปีนี้ จากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซนล่าสุดที่ออกมาต่ำกว่าคาด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน ตามการรีบาวด์ขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ทว่าการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกจำกัดลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหารที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงก่อนหน้า

ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่า เฟดจะคงดอกเบี้ยตามคาด อีกทั้ง Dot Plot ใหม่ก็ยังคงสะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด 2 ครั้งในปีนี้ และอีก 2 ครั้ง ในปีหน้า ไม่ต่างจาก Dot Plot เดิม แต่การปรับคาดการณ์เศรษฐกิจของเฟดที่ดูจะมีความเสี่ยงลักษณะ “Stagflation” (เศรษฐกิจชะลอลง แต่อัตราเงินเฟ้อยังสูงอยู่) มากขึ้น ได้ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ เป็น 64% จากราว 20% ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุมเฟด กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้างและแกว่งตัวแถวโซน 4.23%

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงบ้าง แม้ว่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด แต่การปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มั่นใจมากขึ้นว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้งในปีนี้ หลังรับรู้ผลการประชุม FOMC ได้กดดันให้ เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ย่อตัวลงบ้างสู่โซน 103.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.3-103.8 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมจะกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น แต่จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังตลาดรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) สามารถทยอยปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ สู่โซน 3,060 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ ก่อนที่จะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งเราประเมินว่า BOE อาจมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.50% ไปก่อน ทว่าในปีนี้ BOE ก็ยังมีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ราว 2-3 ครั้ง ตามแนวโน้มการชะลอลงของอัตราเงินเฟ้อและภาพรวมเศรษฐกิจที่อาจชะลอลงจากผลกระทบของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึงรายงานดัชนีภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ อาทิ ดัชนีภาคการผลิตโดยเฟดสาขา Philadelphia เป็นต้น

และในฝั่งเอเชีย บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOJ ยังมีโอกาสราว 32% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ 2 ครั้ง หรือ 50bps ในปีนี้

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมานั้น เหนือความคาดหมายของเราบ้าง เพราะแม้ว่า เฟดจะคงคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) ไม่ต่างจากการประชุมก่อนหน้า อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่เฟดหลายท่าน ที่เปลี่ยนใจมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 1 ครั้ง หรือ คงดอกเบี้ย เมื่อเทียบจาก Dot Plot เดือนธันวาคมปีก่อน ทำให้ Dot Plot โดยรวมมีความ “Hawkish” มากขึ้น แต่การปรับคาดการณ์เศรษฐกิจใหม่ของเฟด ที่ดูจะสะท้อนความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญ ภาวะ “Stagflation” มากขึ้น ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า สุดท้าย เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้ง ในปีนี้ มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot กดดันให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลง ขณะเดียวกันก็หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่

อย่างไรก็ดี เรามองว่า ราคาทองคำก็ยังขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่ๆ เพิ่มเติม ทำให้ในระยะสั้น การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างรอ “ขาย” มากกว่าจะรอ “ซื้อ” ทำให้ ราคาทองคำยังเสี่ยงที่จะย่อตัวลงได้บ้าง ซึ่งเราประเมินว่า หากราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลงบ้าง ก็อาจชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท อีกทั้ง ในช่วงนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้นำเข้าก็ทยอยรอซื้อเงินดอลลาร์ แถวโซนแนวรับเงินบาทในช่วง 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ เรามองว่า เงินบาท (USDTHB) ก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ใกล้โซนแนวรับดังกล่าวไปก่อนได้

ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวันเงินบาทก็อาจได้แรงหนุนอยู่บ้าง หากบรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยเข้าซื้อสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทยเพิ่มเติม ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม แต่เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงนี้ ก็อาจทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรสถานะถือครองบอนด์ โดยเฉพาะบอนด์ระยะสั้นได้

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.70 บาท/ดอลลาร์

พูน พานิชพิบูลย์

นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน

Krungthai GLOBAL MARKETS

ธนาคารกรุงไทย


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment