โกลเบล็ก ตั้งเป้าปี 68 เติบโต 10% ลุยบริหารเวลธ์ ดัน AUM ทะลุหมื่นล้านบาท

บล.โกลเบล็ก ประกาศกปี 2568 เติบโต 10% เล็งขยายธุรกิจบริหารความมั่งคั่งเพิ่ม AUM แตะ 1 หมื่นล้านบาท พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ DRx และ Structured Note รองรับนักลงทุนทุกกลุ่ม รวมถึงศึกษาแนวทางพัฒนา Gold Link Note เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนในอนาคต

นาย ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 ไว้ที่ 10% จากปีก่อน โดยมี ธุรกิจบริหารจัดการความมั่งคั่ง (Private Wealth Management) เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าการขยายพอร์ตกลุ่มลูกค้าดังกล่าว จะสามารถสร้างโอกาสการลงทุนให้กับลูกค้าได้ แม้ว่าตลาดหุ้นจะเผชิญกับความผันผวน

“โกลเบล็ก ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา และเริ่มเห็นผลลัพธ์ในปีนี้ โดยเฉพาะธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต”

ปัจจุบัน โกลเบล็ก มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) กว่า 5,000 ล้านบาท และมีแผนขยายธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง โดยการลดการพึ่งพารายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว พร้อมขยายทีมที่ปรึกษาการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 50 คน ภายในปีนี้ เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น หุ้น, หุ้นกู้ และ Structured Note

นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เช่น การนำผลิตภัณฑ์ Depositary Receipt (DR) และ DRx มาผสมผสานกับ Structured Note เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนรูปแบบใหม่ โดยคาดหวังให้ สินทรัพย์ภายใต้การบริหารเติบโตแตะระดับ 10,000 ล้านบาท พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการศึกษาการพัฒนา Gold Link Note ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนในทองคำ พร้อมขยายช่องทางดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่ตลาดมากขึ้น โดย บล.โกลเบล็ก มุ่งมั่นพัฒนาและสร้างโอกาสทางการลงทุนให้กับลูกค้าในทุกสภาวะตลาด พร้อมขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงในปี 2568

สำหรับภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกขณะนี้ นายธนพิศาล กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในปีนี้ เต็มไปด้วยความท้าทาย โดยเฉพาะตัวแปรหลักจากทิศทางตลาดต่างประเทศ ที่สอดรับกับนโยบาย ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากการกลับมาดำรงตำแหน่งในสมัยที่ 2 ซึ่งนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจทั่วโลก อาทิ มาตรการตั้งกำแพงภาษี ส่งผลให้เกิดสงคราม ทางการค้าอีกครั้ง ซึ่งตัวแปรดังกล่าวกระทบต่อโครงสร้างตลาดการเงินและการลงทุนทั่วโลก อย่างมีนัยสำคัญ

ในขณะที่ตลาดหุ้นไทย ยังคงเผชิญกับความผันผวนท่ามกลางข่าวเชิงลบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้ รวมถึงแรงกดดันจากการบังคับขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ในหลายบริษัท ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในการเข้าลงทุน ดังนั้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ภาครัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดทุน อาทิ การตั้งกองทุนพิเศษ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดทุน รวมถึงการเร่งผลักดันการเติบโตของ GDP และการดึงเงินทุนจากนอกระบบเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงต้องจับตาความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด พร้อมใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการลงทุนระยะยาวในช่วงที่ตลาดยังคงผันผวน


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment