{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
PMC หุ้นไอพีโอรายใหญ่วงการสติ๊กเกอร์เปล่า พร้อมลั่นระฆังเทรดวันแรก 11 ก.ย.นี้ เงินระดมทุนหนุนแผนโต
นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์เปล่าหรือฉลากกาวรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทฯพร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจสินค้าอุตสาหกรรม (INDUS) ในวันที่ 11 กันยายนนี้ โดยใช้ชื่อย่อ “PMC” วางเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่าในภูมิภาคอาเซียน ด้วยยอดขายและผลกำไรที่เติบโตอย่างมั่นคง ควบคู่การสร้างความยั่งยืนร่วมกับคู่ค้า
ชูปัจจัยพื้นฐานธุรกิจมีความแข็งแกร่ง สามารถปรับกลยุทธ์ภายใต้วิกฤติต่างๆ จนวันนี้มองว่า PMC เป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมสติ๊กเกอร์เปล่า ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำสำหรับการผลิตฉลากสินค้าและฉลากบรรจุภัณฑ์ โดยจำหน่ายสินค้าให้แก่ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่น ในด้านความไว้วางใจ และความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายสินค้า ส่งผลให้ปัจจุบัน PMC มีฐานลูกค้าอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์หลักๆ อยู่ในกลุ่มค้าปลีก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว, กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม, กลุ่มโลจิสติกส์ และสามารถเข้าถึงทุกกลุ่มผู้บริโภคปลายทาง การเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ จึงเป็นการสนับสนุนให้ PMC ยกระดับองค์กรสู่มาตรฐานสากล สามารถสร้าง New S-Curve ทางธุรกิจได้
โดยในช่วงที่ผ่านมา PMC มีการใช้อัตรากำลังการผลิตอยู่ในระดับสูง ดังนั้น แผนขยายตลาดและการเพิ่มยอดขายต้องมั่นใจว่ามีกำลังการผลิตรองรับ และคีย์สำคัญคือเทคโนโลยี บริษัทฯ จึงลงทุนขยายกำลังการผลิต เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์อีก 110 ล้านตารางเมตรต่อปี ด้วยเครื่องจักรที่มีความทันสมัยและมีความหลากหลาย ซึ่งจะทำให้ PMC มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว จาก 75 ล้านตารางเมตรต่อปี เป็น 185 ล้านตารางเมตรต่อปี ซึ่งถือเป็นกำลังการผลิตที่ใหญ่ที่สุดเป็นลำดับที่ 3 ของผู้ประกอบการในประเทศไทย และสนับสนุนคุณภาพของสินค้าที่สูงขึ้น พร้อมต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำลง คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/68 นี้
นอกจากนี้ PMC โฟกัสกลยุทธ์การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายฉลากกาวในภูมิภาคอาเซียน ปัจจุบันมีฐานลูกค้าหลักอยู่ในประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย พร้อมทั้งปักธงขยายไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ โดยอยู่ระหว่างขยายไปเวียดนาม และอินโดนีเซียเพิ่มเติม เพราะหากอยู่ใน 5 ประเทศนี้ ก็เทียบเท่ากับการเข้าไปในตลาดที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในอาเซียน ควบคู่การโฟกัสผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าพิเศษและไฮมาร์จิ้นมากขึ้น การเพิ่ม Value Added ให้ลูกค้า ทำให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS