{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล เดินหน้าลุยธุรกิจใบรับรองพลังงานหมุนเวียน และขยายพื้นที่โครงการปลูกข้าวเปียกสลับแห้ง ตั้งเป้า 2 ปี 2 แสนไร่ หลังประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน ได้รับเงินรวม 314 ล้านบาท โดยมีผู้ใช้สิทธิเกินจำนวน 1,133 ล้านหุ้น เป็นไปตามเป้าหมายที่วางแผนไว้ ดันรายได้ปีนี้เติบโตสูง
นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ เอกซ์โพเนนเซียล จำกัด (มหาชน) หรือ WAVE กล่าวว่า ตามมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 ให้บริษัทออกเสนอขายและจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (Rights Offering) ไม่เกิน 2,303 ล้านหุ้น ในอัตราส่วน 4 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ราคาเสนอขายหุ้นละ 0.14 บาทนั้น บริษัทฯ ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ได้วางแผนไว้ โดยได้รับเงินจากการเพิ่มทุนครั้งนี้ รวม 314 ล้านบาท ซึ่งปรากฏว่ามีผู้สนใจจองเกินสิทธิมาเป็นจำนวนมากถึง 1,133 ล้านหุ้น รวมถึงให้ความสนใจในใบสำคัญแสดงสิทธิ (WAVE-W4) อีกด้วย
“ความสำเร็จในการเพิ่มทุนสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อการดำเนินธุรกิจและการดำเนินตามแผนธุรกิจของบริษัทที่ได้วางเป้าหมายไว้ ที่จะเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจด้านใบรับรองพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งเป็นผู้นำในธุรกิจคาร์บอนเครดิตครบวงจร และการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมอันเป็นเป้าหมายระดับชาติและผลักดันให้เอกชนไทยเพิ่มขีดความ สามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก “นายเจมส์กล่าว
โดยบริษัทมีแผนการใช้เงินเพิ่มทุน เพื่อขยายธุรกิจและการดำเนินโครงการใหม่ อาทิเช่น ศึกษาเรื่องการออกโทเคน เพื่อสนับสนุนบริษัทไทยในการจัดหาและเข้าถึงใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (RECs) รวมทั้งขยายโครงการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) ให้ถึง 200,000 ไร่ และการศึกษาโครงการอื่นๆ ด้านการลดก๊าซเรือนกระจกในอนาคต เพื่อชดเชยและขับเคลื่อนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ
ประเทศไทยได้มีการประกาศเป้าในการเป็นกลางทางคาร์บอนในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2608 พร้อมกำหนดเป้าหมายตามแผนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย พ.ศ. 2564 – 2573 (Nationally Determined Contribution Roadmap) ซึ่งตั้งเป้าไว้ที่ 30-40% จากกรณีดำเนินการตามปกติ โดยการคำนวณคาดการณ์ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยจะอยู่ที่ 555 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2e) หากจะลดลงร้อยละ 30 – 40% นั้นจะต้องลดลงอย่างน้อย 166-222 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 ได้มีการรับรองคาร์บอนเครดิตมาตรฐาน TVER ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เพียง 18 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 จนถึงปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนใบรับรองพลังงานหมุนเวียนเพียง 19 ล้านเมกะวัตต์-ชั่วโมง (เท่ากับประมาณ 9.5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) ซึ่งอยู่ในปริมาณที่ยังน้อยและมีความเสี่ยงด้านการขาดคาร์บอนเครดิตที่เพียงพอในการชดเชย
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS