ส่งออกเดือน มี.ค. หดตัวแรงตามคาดจากปัจจัยฐานและสัญญาณฟื้นตัวยังแผ่ว แต่คาดทั้งปียังขยายตัวได้

การส่งออกไทยในระยะสั้นแผ่วลงเล็กน้อยต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า

มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในเดือน มี.ค. 2024 อยู่ที่ 24,960.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พลิกกลับมาหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน โดยหดตัวสูงถึง -10.9%YOY เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน หรือเทียบกับ 10%YOY ในเดือน ม.ค. และ 3.6%YOY ในเดือน ก.พ. 2024 การหดตัวในเดือนนี้เป็นผลมาจากปัจจัยฐานสูงเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการส่งออกทองคำที่หดตัวมากถึง 75% จากฐานการส่งออกทองคำในเดือน มี.ค. 2023 ที่สูงกว่าปกติมากอยู่ที่ 1,569 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการส่งออกหลังหักทองคำหดตัวเหลือ -7.1% แต่มูลค่าการส่งออกหลังหักทั้งทองคำและปัจจัยฐานหดตัวเล็กน้อย -1.1%MOM_SA (เทียบกับเดือนก่อนหน้าแบบปรับฤดูกาล) สะท้อนว่าสัญญาณการฟื้นตัวของการส่งออกไทยในระยะสั้นแผ่วลงเล็กน้อยต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่หดตัวใกล้เคียงกันที่ -1.1%MOM_SA ทั้งนี้ในภาพรวมการส่งออกไทยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2024 มีมูลค่า 70,995.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว -0.2%

การส่งออกเดือน มี.ค. 2024 หดตัวเกือบทุกกลุ่ม ยกเว้นสินค้าเกษตรที่ขยายตัวเล็กน้อย

ภาพรวมการส่งออกรายสินค้าหดตัวเกือบทุกกลุ่ม นำโดย (1) สินค้าอุตสาหกรรมพลิกกลับมาหดตัว -12.3% จากที่ขยายตัว 5.2% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ขณะที่เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบเป็นสินค้าสำคัญที่ขยายตัว (2) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวต่อเนื่อง -9.9% ใกล้เคียงเดือนก่อนที่หดตัว -9.1% น้ำตาลทรายและไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์เป็นสินค้าหลักที่หดตัว ขณะที่อาหารสัตว์เลี้ยงเป็นสินค้าสำคัญที่ขยายตัว (3) สินค้าแร่และเชื้อเพลิงหดตัวต่อเนื่อง -5% เทียบกับ -8.5% ในเดือนก่อน ขณะที่ (4) สินค้าเกษตรขยายตัว 0.1% ชะลอลงจาก 7.5% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะยางพารา ข้าว ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง (รูปที่ 1 และ 3) ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสภาพภูมิอากาศร้อนทำให้ผลผลิตเกษตรออกช้ากว่าปกติ

การส่งออกเดือนนี้หดตัวเกือบทุกตลาดสำคัญ

ภาพรวมการส่งออกหดตัวในเกือบทุกตลาดสำคัญ โดย (1) ตลาดญี่ปุ่น หดตัวรุนแรง -19.3% จาก -5.8% ในเดือนก่อน โดยการส่งออกสินค้าสำคัญ 15 ลำดับแรกของตลาดนี้หดตัวมากถึง 12 รายการ โดยเฉพาะอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (-31.1%) และเคมีภัณฑ์ (-29.5%) (2) ตลาดจีน เป็นอีกตลาดหลักที่หดตัวต่อเนื่อง -9.7% จาก -5.7% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง (-51.4%) และสินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ (-47.6%) (3) ตลาดยุโรป พลิกกลับมาหดตัว -3.2% จากที่เคยขยายตัว 1.7% ในเดือนก่อน (4) ตลาดเมียนมา หดตัว -14.8% ต่อเนื่องจาก -14.4% ในเดือนก่อน คาดว่าเป็นผลจากสถานการณ์ความขัดแย้งในเมียนมา นอกจากนี้ ยังมีความขัดแย้งบริเวณใกล้เคียงกับสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 (แม่สอด) ซึ่งเป็นเส้นทางการส่งออกสินค้ามากถึง 74% ของไทยไปยังเมียนมา ที่อาจมีผลกดดันการส่งออกไปเมียนมาต่อเนื่องในเดือน เม.ย. แม้จะมีเส้นทางอื่นที่สามารถใช้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวได้ ขณะที่ (5) ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัว 2.5% ชะลอลงจาก 15.5% ในเดือนก่อน (รูปที่ 1)

ดุลการค้าขาดดุลจากการนำเข้าเชื้อเพลิงและสินค้าทุนที่ขยายตัวแข็งแกร่ง

มูลค่าการนำเข้าสินค้าในเดือน มี.ค. 2024 อยู่ที่ 26123.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวต่อเนื่อง 5.6%YOY เทียบกับ 3.2% ในเดือนก่อน โดยสินค้าเชื้อเพลิงขยายตัวครั้งแรกในรอบ 4 เดือนที่ 38.3% สินค้าทุนขยายตัว 11.4% ขณะที่กลุ่มยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งหดตัวต่อเนื่องที่ -19.4% สินค้าอุปโภคบริโภคพลิกกลับมาหดตัว -6.8% และสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปหดตัว -1.9% สำหรับภาพรวมการนำเข้ารายประเทศขยายตัวจาก 2 ตลาดหลัก คือ (1) ตลาดสหรัฐฯ กลับมาขยายตัว 19.8% จากการนำเข้าเชื้อเพลิง และยานพาหนะอื่น ๆ ที่ขยายตัวถึง 7,755.8% และ 1,188.7% ตามลำดับ (2) ตลาด CLMV พลิกกลับมาขยายตัว 8.4% ดุลการค้าระบบศุลกากรในเดือนนี้ขาดดุล -1,163.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับขาดดุล -554 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือน ก.พ. 2024 สำหรับภาพรวมไตรมาสแรกของปี 2024 ดุลการค้าขาดดุล -4,475.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (รูปที่ 2)

SCB EIC ประเมินมูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวต่อเนื่องในปีนี้

มูลค่าการส่งออกไทยทั้งปีนี้คาดว่าจะพลิกกลับมาขยายตัวที่ 3.1% จากแรงสนับสนุนหลายด้าน ได้แก่ (1) ปริมาณการค้าโลกที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก แม้จะไม่สดใสเหมือนที่ประมาณการไว้ก่อนเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในบริเวณทะเลแดง (รูปที่ 4) (2) ภาคการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศจะกลับมามีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกมากขึ้นในปีนี้ เห็นได้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตโลกที่พลิกกลับมาอยู่เหนือระดับ 50 สองเดือนต่อเนื่องหลังจากหดตัวมานาน นอกจากนี้ ดัชนี PMI ยอดคำสั่งซื้อใหม่จากต่างประเทศ (Export order) ยังมีแนวโน้มหดตัวน้อยลง ขณะที่ดัชนี PMI ปริมาณผลผลิตในอนาคต (Future output) เริ่มขยายตัวเร่งขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว สะท้อนการขยายตัวของภาคการผลิตในระยะข้างหน้า (รูปที่ 5) (3) ราคาสินค้าส่งออกที่ดี เช่น ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามปริมาณผลผลิตในตลาดโลกที่ลดลงจากภัยแล้งและนโยบายควบคุมการส่งออกสินค้าในบางประเทศ รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นตามความเสี่ยงการโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซียโดยจากยูเครน สถานการณ์ความไม่แน่นอนในตะวันออกกลาง รวมถึงความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก

ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกของไทยจะพลิกกลับมาขยายตัวได้ตั้งแต่เดือน เม.ย. และจะขยายตัวได้ราว 2% ในไตรมาสที่ 2 ตามสถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรและผลไม้ที่อาจปรับตัวดีขึ้น

ตามผลผลิต และการฟื้นตัวของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ รถไฟฟ้า และพลังงานสะอาดของโลก รวมถึงค่าเงินบาทอ่อนค่า และค่าระวางเรือที่ทยอยลดลงกลับเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การส่งออกไทยอาจได้เผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อการค้าโลก ได้แก่ 1) ปัญหาห่วงโซ่อุปทานจากความแห้งแล้งของคลองปานามาและการโจมตีของกลุ่มกบฏฮูตีบริเวณทะเลแดง ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งสำคัญของไทยไปยังสหรัฐฯ และยุโรป ตามลำดับ ที่ยังคงกดดันการค้าโลกอยู่ แม้ว่ามีแนวโน้มจะคลี่คลายลงในระยะต่อไป (รูปที่ 6) 2) ปัญหาการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ และมาตรการกีดกันทางการค้าที่ถูกนำมาใช้เพิ่มเติม (รูปที่ 7) 3) สถานการณ์สงครามระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอล ซึ่งมีแนวโน้มจะลุกลามไปยังประเทศใกล้เคียง เช่น อิหร่าน อย่างไรก็ดี เนื่องจากสงครามยังคงจำกัดอยู่ในกลุ่มประเทศใกล้เคียง ไม่ได้มีแนวโน้มจะขยายตัวเป็นวงกว้างไปในภูมิภาค และประเทศไทยมีสัดส่วนการค้ากับกลุ่มประเทศดังกล่าวค่อนข้างน้อย ประเทศไทยจึงมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์สงครามดังกล่าวค่อนข้างจำกัด

บทวิเคราะห์โดย... https://www.scbeic.com/th/detail/product/trade-290424

ผู้เขียนบทวิเคราะห์

นางสาวณัฐณิชา สุขประวิทย์ นักเศรษฐศาสตร์

นายวิชาญ กุลาตี นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment