ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มผันผวน

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เผย บทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 85-92 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 88-95 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (16 – 20 ต.ค. 66)

ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มผันผวน เนื่องจากตลาดยังคงจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และกลุ่มฮามาส ที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันและความมั่นคงทางเศรษฐกิจโลก อีกทั้งดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคผลิต (PMI) ของจีนเดือน ก.ย. ขยายตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มี.ค. สอดคล้องกับการปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจจีนของ Citigroup จากระดับ 4.7% สู่ระดับ 5% อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป ขณะที่ IMF ปรับลดการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2567 ลงจากเดิม 3.0% สู่ระดับ 2.9%

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้

ตลาดยังคงจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และกลุ่มฮามาส ที่อาจส่งผลต่อราคาน้ำมันในปัจจัยเชิงจิตวิทยา และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการขนส่งน้ำมันในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม หากความขัดแย้งไม่ขยายวงกว้างมากขึ้น ตลาดคาดการณ์ว่าไม่ได้มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันมาก เนื่องจากอิสราเอลไม่ใช่ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ โดยผลิตน้ำมันดิบเพียง 7.2 แสนบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ปาเลสไตน์ไม่มีแหล่งผลิตน้ำมันดิบ อีกทั้งซาอุดีอาระเบียยังพร้อมที่จะปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อสร้างเสถียรภาพในตลาดน้ำมัน หากความขัดแย้งส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันโลกจริง

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ เดือนก.ย. อยู่ที่ระดับ 3.7 % ซึ่งปรับขึ้นสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นอยู่ที่ระดับ 3.6% เมื่อเทียบรายปี การปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่องนี้เป็นผลจากราคาพลังงานซึ่งปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือน ก.ย. ซึ่งประกาศออกมาเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า และสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ จากตัวเลขทางเศรษฐกิจดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% ในการประชุมครั้งถัดไป ซี่งจัดขึ้นในวันที่ 31 ต.ค.- 1 พ.ย. การปรับขึ้นดังกล่าวจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 5.50-5.75% และส่งผลกดดันต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังคงตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2566 ที่ระดับ 3.0% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม เนื่องจาก เศรษฐกิจโลกยังคงฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงสงครามความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน แต่ปรับลดการคาดการณ์ปี 2567 ลงจากเดิม 3.0% สู่ระดับ 2.9% โดยระบุว่า เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งกังวลความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

รายงานฉบับล่าสุดของ Citigroup สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของโลก คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตที่ระดับ 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ครั้งก่อนที่ระดับ 4.7% การปรับเพิ่มขึ้นนี้มาจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคผลิต (PMI) เดือน ก.ย. อยู่ที่ระดับ 50.2 สูงกว่าเดือนหน้าที่ระดับ 49.7 และขยายตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มี.ค. ถึงแม้ว่าดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจของจีนจะเริ่มดูมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่นักเศรษฐศาสตร์ยังคงกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ตลาดแรงงาน รวมทั้งวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์

รายงาน FGE ฉบับเดือน ต.ค. ปรับเพิ่มคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันโลกปีนี้ขึ้น 0.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นเติบโตที่ระดับ 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หลังความต้องการใช้น้ำมันของจีนยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปริมาณการผลิตคาดจะเติบโตที่ระดับ 1.58 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก (Non-OPEC) 2.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน ท่ามกลางการปรับลดลงของผู้ผลิตในกลุ่มโอเปกพลัส

เศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจีน เดือน ก.ย. ได้แก่ ดัชนียอดค้าปลีก และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment