บลจ. พรินซิเพิล เปิดตัวกองทุน ‘เวียดนาม RMF’ เสนอขายครั้งแรก 11 – 22 ก.ย.นี้

พรินซิเพิล เปิดตัวกองทุนเปิด “พรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ” (PRINCIPAL VNEQRMF) ที่เข้าลงทุนในกองทุนหลัก PRINCIPAL VNEQ ซึ่งบริหารจัดการโดยทีมผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและเวียดนาม เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก 11 – 22 กันยายน 2566 พร้อมโปรโมชั่นยอดลงทุนทุกๆ 5 หมื่นบาท รับฟรีหน่วยลงทุนของกองทุนเปิด PRINCIPAL DPLUS มูลค่า 100 บาท

นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า บลจ. พรินซิเพิลจึงเปิดตัว “กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ” หรือ Principal Vietnam Equity Retirement Mutual Fund” (PRINCIPAL VNEQRMF) เพื่อเพิ่มทางเลือกแก่ผู้ที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเพื่อออมเงินสำหรับการเกษียณอายุผ่านกองทุนรวม พร้อมรับสิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้และรับโปรโมชั่นเมื่อสะสมยอดลงทุนในกองทุนดังกล่าวทุกๆ 50,000 บาท จะได้รับหน่วยลงทุนของกองทุนเปิด PRINCIPAL DPLUS มูลค่า 100 บาทอีกด้วย

ทั้งนี้ กองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQRMF เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) วันที่ 11 – 22 กันยายน 2566 มีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท (Greenshoe 15%) สั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยเป็นกองทุนรวมประเภท Feeder Fund และ RMF ที่จะเข้าลงทุนในกองทุนเปิด PRINCIPAL VNEQ เป็นกองทุนหลัก ซึ่งบริหารจัดการโดยทีมผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามทั้งชาวไทยและเวียดนาม นำโดยนายชาตรี มีชัยเจริญยิ่ง หัวหน้าการลงทุนฝ่ายตราสารทุน บลจ. พรินซิเพิล พร้อมทีมงานที่มีประสบการณ์สูง โดยกองทุนดังกล่าวมีกลยุทธ์บริหารกองทุนเชิงรุก (Active Management) เข้าลงทุนโดยตรงในหุ้นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เวียดนามหรือมีธุรกิจหลักอยู่ในประเทศเวียดนาม เพื่อคัดเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีศักยภาพเติบโตในอนาคต และเป็นผู้ชนะในระยะยาว โดยทีมบริหารกองทุนมุ่งเน้นการลงทุนอย่างระมัดระวังภายใต้กลยุทธแบบบาร์เบล (Barbell) คือลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive ที่มีผลการดำเนินงานมั่นคงในทุกวัฏจักรเศรษฐกิจ และหุ้นกลุ่ม Quality Growth หรือหุ้นกลุ่มเติบโต รวมถึงกระจายการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน, เทคโนโลยีสารสนเทศ, สินค้าฟุ่มเฟือย, พัฒนาอสังหาริมทรัพย์, วัสดุ, กองทุน ETF เป็นต้น

สำหรับประเทศเวียดนามมีศักยภาพเติบโตที่ดีและจุดเด่นหลากหลาย โดยอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ย้อนหลัง 30 ปี (ปี 2536 – 2565) เฉลี่ยสูงถึง 6.4% ต่อปี และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 6.7% ต่อปีในช่วงปี 2567 – 2571 เนื่องจากประเทศเวียดนามมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มากขึ้นโดยในปี 2565 มีสัดส่วนประมาณ 4% ของ GDP จากปัจจัยด้านแรงงานที่มีคุณภาพดีแต่ค่าแรงขั้นต่ำไม่สูง และปัจจัยด้านภาษีเพราะเวียดนามมีการทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTAs) มากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ทำให้เวียดนามเป็นศูนย์กลางการผลิตที่มั่นคงและเติบโตแห่งหนึ่งของโลก อีกทั้งเวียดนามยังมีการเติบโตในภาคการท่องเที่ยวและการขยายตัวของสังคมเมือง ประชาชนมีรายได้ต่อประชากรเติบโตสูงที่สุดในอาเซียนและกำลังก้าวสู่ประเทศที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง ทำให้การบริโภคในประเทศแข็งแกร่ง ในขณะที่เศรษฐกิจและธุรกิจได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและธนาคารกลาง ทั้งการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และ การออกมาตรการให้ผู้ออกหุ้นกู้ที่ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยและเงินต้นคืนแก่ผู้ถือหุ้นกู้ภายในกำหนด สามารถเจรจาขอขยายระยะเวลาชำระดอกเบี้ยและเงินต้นได้ หรือมาตรการที่อนุญาตให้ลูกหนี้ธนาคารสามารถเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ได้ เป็นต้น

โดยภาพรวมเศรษฐกิจเวียดนามล่าสุดนั้น อัตราเงินเฟ้อเดือนมิถุนายน 2566 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2% ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย 7 เดือนแรกมีจำนวนกว่า 6.6 ล้านคน คิดเป็น 83% ของเป้าหมายของรัฐบาลเวียดนามที่ตั้งไว้ที่ 8 ล้านคน ในขณะที่ตัวเลขการค้าปลีกของเวียดนามอยู่ที่ 7.1% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 8% ทั้งนี้คาดกาณ์ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางเวียดนามตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมานั้น จะส่งผลให้มีอุปสงค์ในภาคอสังหาริมทรัพย์และการบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ตัวเลขการค้าปลีกนี้กลับขึ้นมาสู่ภาวะปกติได้


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment