{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
ไรมอน แลนด์ หรือ RML สรุปผลการดำเนินงานปี 2565 โชว์ผลประกอบการไตรมาส 4 กำไรสุทธิ 43 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการปี 2565 มีรายได้รวม 2,745 ล้านบาท
นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจของไรมอน แลนด์ ในปี 2565 ที่ผ่านมา นับว่าบริษัทฯ ประสบความสำเร็จ มีผลประกอบการที่โดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ที่สามารถทำกำไรได้จากที่มีผลขาดทุนในปีก่อนหน้านั้น รวมถึงบริษัทฯ ยังมียอดขายในไตรมาสเดียวกัน ที่สูงมากขึ้นกว่าปีก่อนเกือบเท่าตัว ขณะที่ยอดขายทั้งปี ก็ยังขยับสูงขึ้นเกือบ 7% จากปี 2564 ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีมากที่ลูกค้าของ RML เชื่อมั่นในแบรนด์และคุณภาพโครงการ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ จึงทำให้การโอนโครงการเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2565 และมียอดโอนไปแล้วประมาณ 50% ของจำนวนยูนิตพร้อมขาย และคาดว่า จะปิดการขายในปีนี้อย่างแน่นอน
“ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 บริษัทฯ สามารถพลิกกลับมามีกำไร เนื่องจากผลการดำเนินงานที่สะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ จากการบริหารจัดการต้นทุนโครงการของ RML ในปัจจุบัน รวมถึงการบริหารต้นทุนทางการเงินที่มีดอกเบี้ยแบบอัตราลอยตัวและอัตราคงที่ในสัดส่วนที่เหมาะสม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จจากการรีแบรนด์ ภายใต้สโลแกน ‘ลักชัวรี่ รีอิมเมจิ้น (Luxury Reimagined)’ เพื่อยกภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เข้าถึงง่าย ทันสมัย และขยายกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงทุกเจเนอเรชั่นที่มีกำลังซื้อของตลาดลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ จึงทำให้โครงการได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยทั้งสองโครงการภายใต้การร่วมทุนกับ โตเกียว ทาเทโมโนะ คือ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ มียอดขายแล้วประมาณ 80% และ ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ (Tait Sathorn 12) มียอดขายแล้วประมาณ 90%” นายกรณ์ กล่าว
บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ 4,965 ล้านบาท รวมทั้งหมด 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ ซึ่งทยอยโอนกรรมสิทธิ์มาตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2565 และโครงการ ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ คอนโดมิเนียมลักชัวรี่ ใจกลางสาทร ซึ่งจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 3 ปี 2566
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทฯ ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนในโครงการต่างๆ จากการระดมทุนด้วยตนเองไปสู่การลงทุนร่วมกับบริษัทอื่น (Joint venture) รวมทั้งกลยุทธ์ แอสเสท ไลท์ (Asset light) ซึ่งเน้นเปิดโครงการร่วมกับเจ้าของที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ทำให้ประหยัดต้นทุนค่าที่ดินมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งพัฒนาและลงทุนโครงการ ที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income) สามารถรับรู้รายได้เร็ว และรายได้ประจำมากขึ้น โดยในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ จะเปิดให้บริการ ‘วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์’ (One City Centre) อาคารสำนักงานเกรดเอ ระดับลักชัวรี่ที่สูงที่สุดในประเทศไทย บนสุดยอดทำเลใจกลางย่านธุรกิจติดสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเพลินจิต ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้บริษัทฯ มีรายได้ประจำและ กระแสเงินสดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทางโครงการฯ ได้รับผลตอบรับที่ดีมากแม้ยังไม่ได้เปิดทำการเต็มรูปแบบก็ตาม ปัจจุบันมีอัตราการเช่าแล้วกว่า 50% และมีบริษัทชั้นนำมากมายเข้าเซ็นสัญญาแล้ว อาทิ มิตซูบิชิ เอสเตท (ประเทศไทย), มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ (ประเทศไทย), มิตซูบิชิ พาวเวอร์ (ประเทศไทย), มารูเบนิ (ประเทศไทย) และอีกหลากหลายองค์กรดังระดับโลก
นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในรูปแบบ อัลตร้า ลักชัวรี่ แบรนด์เด็ด เรสซิเดนซ์ (Ultra-Luxury Branded Residence) 2 แห่ง โครงการแรกคือ โรสวูด เรสซิเดนซ์เซส กมลา (Rosewood Residences Kamala) จังหวัดภูเก็ต โดยจะพัฒนาในรูปแบบโครงการวิลล่าสุดหรูส่วนตัวเพียงไม่กี่หลัง มูลค่าโครงการรวมกว่า 7 พันล้านบาท และอีกโครงการ ในโซนสุขุมวิท เพื่อมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำอันดับ 1 ในด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ระดับลักชัวรี่ และอัลตร้าลักชัวรี่
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS