{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ หรือ TNR ทำผลงาน 9 เดือนแรกโดดเด่น กวาดยอดขาย 1,592 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 266 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ เปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่เพื่อจัดจำหน่ายและทำตลาดในอเมริกาและยุโรป
นายอมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR เปิดเผยว่า ภาพผลการดำเนินงาน (ตามงบการเงินรวม) งวด 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน) สามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) โดยมีรายได้จากการขายและบริการรวม 1,592 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 266 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยมาจากปริมาณการขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้มีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำลง ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่ลดลง และตลาดส่งออกมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามหากไม่นับรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ประมาณ 50 ล้านบาท บริษัทฯ ยังคงมีกำไรสุทธิสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ยอดขายผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยมีอัตราเติบโตที่ดีทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งกลุ่มธุรกิจงานประมูล (Tender) กลุ่มธุรกิจภายใต้แบรนด์สินค้าของบริษัท (OBM) และกลุ่มธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ส่วนผลิตภัณฑ์เจลหล่อลื่นมียอดขายเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนการฟื้นตัวของธุรกิจหลังจากสถานการณ์ COVID-19 ในหลายประเทศคลี่คลาย ส่งผลให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตและทำกิจกรรมต่าง ๆ เกือบจะเป็นปกติ
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2565 เติบโตในทิศทางเดียวกัน โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 626 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิ 129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 207% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้และกำไรสุทธิดังกล่าวสูงกว่าไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้จากการขายและบริการ 447 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 69 ล้านบาท
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TNR กล่าวว่า แนวโน้มการดำเนินงานไตรมาส 4/2565 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยวางกลยุทธ์มุ่งเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยภายใต้แบรนด์สินค้าของบริษัท ล่าสุดได้เปิดตัวถุงยางอนามัย 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ แบรนด์ Custom เพื่อจำหน่ายและทำตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกาผ่านบริษัท TNR USA INC ซึ่งเป็นบริษัทย่อย และแบรนด์ Gasym เพื่อจำหน่ายและทำตลาดทวีปยุโรปผ่านตัวแทนจำหน่าย ส่วนแบรนด์ Onetouch ที่มีอยู่แล้วจะจัดจำหน่ายและทำตลาดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเซียเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีออเดอร์ในกลุ่มธุรกิจงานประมูลและกลุ่มธุรกิจรับจ้างผลิตที่รอส่งมอบอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น บริษัทฯ จึงมั่นใจว่าจะสามารถทำผลการดำเนินงานปี 2565 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะมียอดขายรวมสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 1,800 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS