{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
เส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายคุนหมิง-เวียงจันทน์ นับเป็นหนึ่งในเส้นทางการขนส่งที่สำคัญสำหรับการค้าระหว่างประเทศของอาเซียนด้วยระบบโลจิสติกส์แบบผสมผสาน (Multi-Modal Transportation) ได้มีการเปิดใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่จับตามองเป็นอย่างมาก ในแง่มุมของการลงทุน การท่องเที่ยว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในมุมของการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศจีน ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเส้นทางรถไฟสายนี้ ทั้งนี้ หนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญของไทย คือ สินค้าเกษตรและอาหาร จึงมีคำถามที่น่าสนใจคือ รถไฟความเร็วสูงจะสร้างโอกาสและความท้าทายอะไรให้กับสินค้าเกษตรและอาหารของไทยบ้าง รวมถึงผู้ประกอบการต้องเตรียมตัวอย่างไร แต่ก่อนที่จะตอบคำถามนั้น อยากให้ผู้อ่านทราบก่อนว่าที่ผ่านมา สถานการณ์การนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารของจีนเป็นอย่างไร
ตลาดจีนมีความสำคัญกับสินค้าเกษตรและอาหารไทยแค่ไหน?
ไทยส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปยังตลาดจีนเป็นหลัก โดยในปี 2021 มีมูลค่ารวมเท่ากับ 3.8 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 26.7% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารทั้งหมดของไทย โดยสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (สัดส่วนปี 2012 มีสัดส่วน 15.6%) สาเหตุหลักมาจากไทยได้รับอานิสงค์จากการทำข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งสินค้าของไทยยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวจีน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าผลไม้ อาทิ ทุเรียน ลำไย และมังคุด โดยสินค้าเกษตรและอาหารไทยส่งออกทางเรือมากกว่า 80% ของการส่งออกส่วนที่เหลือเป็นการขนส่งทางถนน
รถไฟความเร็วสูงจะสร้างโอกาสอะไรให้สินค้าเกษตรและอาหารของไทยบ้าง
1. ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการขนส่ง
รถไฟความเร็วสูงจีน-สปป.ลาว เดินทางจากนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน มาถึง จ.หนองคาย จะใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นไม่เกิน 15 ชั่วโมง และมีต้นทุนค่าขนส่งเฉลี่ยถูกกว่าการขนส่งทางถนนประมาณ 2 เท่า โดยอัตราค่าขนส่งสินค้าทางรถไฟความเร็วสูงเส้นทางเวียงจันทน์ถึงคุนหมิง ราคาต่อตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต 1 ตู้ อยู่ที่ 15,921.2 หยวน หรือคิดเป็นเงินบาทที่ประมาณ 3,243 บาท/ตัน ทำให้การส่งออกโดยเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจะช่วยลดค่าใช้จ่าย และยังสามารถกระจายความเสี่ยงจากปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงการจราจรที่แออัดจากเส้นทางขนส่งทางถนน ส่งผลให้การขนส่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดระยะเวลาการขนส่งและสูญเสีย ซึ่งอาจช่วยให้มีความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรและอาหารของไทยเพิ่มมากขึ้น
2. รองรับความต้องการนำเข้าสินค้าเกษตรของจีนที่เติบโต
ในปี 2021 จีนนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารคิดเป็นมูลค่า 198.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 12.3% ของการนำเข้าสินค้าทั้งหมดของจีน และหากดูจากรูปที่ 3 จะเห็นว่ามูลค่าการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 9.4% ต่อปี (CAGR 2010-2021) ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้ ในอนาคตหากจีนมีความต้องการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าผักและผลไม้ รถไฟความเร็วสูงจีน-สปป.ลาว จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการขนส่งสินค้าจากไทยไปจีนที่น่าสนใจ รวมทั้งช่วยแก้ปัญหาคอขวดการขนส่งที่ติดขัดทางบกได้
3. ช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับ SMEs ของไทยในช่องทางการขายผ่านแพลตฟอร์ม CBEC ของจีน
รถไฟความเร็วสูงจีน-สปป.ลาวช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในแพลตฟอร์ม CBEC (Cross-Border e-Commerce) เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากชาวจีนส่วนใหญ่นิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทาง CBEC (Cross-Border e-Commerce) โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลสารสนเทศและโครงข่ายอินเทอร์เน็ตแห่งชาติจีน (CNNIC) พบว่าในปี 2021 ผู้บริโภคชาวจีนที่ใช้ช่องทางออนไลน์ในการซื้อสินค้ามีจำนวนทั้งสิ้น 812.1 ล้านคน จากเดิมในปี 2020 ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 782.4 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 3.8%YoY โดยสินค้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ กลุ่มอาหาร ดังนั้น รถไฟจีน-สปป.ลาวจะสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบไทย โดยเฉพาะรายกลางและย่อย ให้สามารถส่งออกสินค้าในกลุ่มอาหารไปยังกลุ่มผู้บริโภคชาวจีนซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้บริโภควัย Gen Z และ Gen Y (คิดเป็น 54.8%ของผู้ใช้ทั้งหมด) ที่ต้องการความรวดเร็วในการบริโภคสินค้า
4. ขยายฐานตลาดสินค้าเกษตรและอาหารไปยังประเทศอื่นๆที่เชื่อมโยงด้วยรถไฟ
นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน นับว่าเป็นเมืองด้านคมนาคมที่สำคัญของประเทศจีน โดยเป็นศูนย์กลางของเส้นทางรถไฟหลายสาย เช่น เส้นทางคุนหมิงไปรัสเซียตะวันตก โปแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ (รูปที่ 5) ซึ่งไทยสามารถอาศัยช่องทางการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารผ่านเส้นทางรถไฟความเร็วสูงของจีนเพื่อไปยังปลายทางประเทศอื่นๆได้สะดวกขึ้นและประหยัดต้นทุน นอกจากนั้น จากข้อมูลของ Organization for Economic Co-operation and Development ระบุว่ากลุ่มประเทศในแถบยุโรปมีความต้องการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ยที่ปีละ 3.4% ในปี 2021-2030 (CAGR%) ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญของไทยที่จะขยายตลาดไปยังประเทศเหล่านี้ได้
สินค้ากลุ่มไหนที่ตีตั๋วได้ก่อน?
Krungthai COMPASS มองว่า ในเบื้องต้นสินค้าเกษตรกลุ่มผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง และไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพที่จะสามารถขยายตลาดจีนผ่านการขนส่งทางราง ประกอบกับมีอัตราการเติบโตของมูลค่าส่งออก และอัตราการเติบโตของส่วนแบ่งตลาดการส่งออกไปยังตลาดจีนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย
จากการวิเคราะห์การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไทยไปจีน 10 อันดับแรก พบว่า สินค้ากลุ่มผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง และไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 19.9% และ 19.7% ตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งอยู่ที่ 13.5% อีกทั้งยังมีอัตราการเติบโตของส่วนแบ่งการตลาดส่งออกจากไทยไปจีนอยู่ที่ 16.5% และ 65.7% ตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งอยู่ที่ 7.7% ด้วย
นอกจากนี้ สินค้ากลุ่มผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง และไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ยังเป็นสินค้าที่มี Shelf Life สั้น เมื่อเทียบกับสินค้าเกษตรในกลุ่มอื่นๆ โดยไก่สดแช่เย็นและกุ้งสดแช่เย็น มีอายุการเก็บรักษาต่ำสุดเพียง 3-5 วัน รองลงมา คือ ผลไม้สดแช่เย็น มีอายุการเก็บรักษาที่ 7-20 วัน ซึ่งเหมาะสำหรับการขนส่งทางรถไฟความเร็วสูงเส้นทางสปป.ลาว-จีน ที่ใช้ระยะเวลาในการขนส่งค่อนข้างเร็ว ที่ประมาณไม่เกิน 15 ชั่วโมง รวมทั้งยังเป็นสินค้าที่อยู่ในกลุ่มอาหารซึ่งเป็นที่นิยมในการสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์ม CBEC ของจีน ดังนั้น ปัจจัยด้านอายุการเก็บรักษา ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้ส่งออกอาจใช้ในการพิจารณาเลือกสินค้าในการส่งออกผ่านทางรถไฟความเร็วสูงได้
ไทยจะสามารถแสวงหาโอกาสจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารผ่านรถไฟความเร็วสูงได้แค่ไหน
Krungthai COMPASS ประเมินว่า รถไฟความเร็วสูงจะช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 130 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี หรือ 4,329 ล้านบาท ในระยะแรก (อัตราแลกเปลี่ยนที่ 33.3 บาท/เหรียญสหรัฐฯ) โดยมีสมมติฐานในการประเมินดังนี้
1. สินค้าที่เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการส่งออกทางราง โดยพิจารณาจาก 1) สินค้าเกษตรและอาหารที่ไทยส่งออกไปจีน 10 อันดับแรก 2) มีอัตราการเติบโตของการส่งออกที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 3) เป็นสินค้าที่มีแนวโน้มส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย 4) เป็นสินค้าที่มีอายุการเก็บรักษาสั้นเมื่อเทียบกับสินค้าอาหารประเภทอื่น ซึ่งได้แก่ กลุ่มผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง และไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ตามที่อธิบายไปก่อนหน้า
2. ประเมินโอกาสที่จะส่งออกสินค้าทั้ง 2 กลุ่มนี้ เพิ่มเติมผ่านช่องทางรถไฟความเร็วสูงฯ โดยคาดว่าความสามารถในการบรรทุกสินค้าของรถไฟความเร็วสูงในระยะแรก (ปี 2022-2025) จะอยู่ที่ปีละประมาณ 2.2 ล้านตัน และให้ความ
สามารถในการส่งออกสินค้าทั้ง 2 กลุ่ม หรือส่วนแบ่งตลาดด้านปริมาณส่งออกเท่ากับค่าเฉลี่ยในช่วง 3 ปีย้อนหลัง (2019-2021)ซึ่งเท่ากับ 3.0% ของสินค้าทั้งหมดที่ไทยส่งออกไปจีน ดังนั้น จึงคาดว่าไทยจะมีโอกาสส่งออกสินค้าเพิ่มเติมผ่านช่องทางรถไฟความเร็วสูงสายนี้ได้ประมาณ 7 หมื่นตันต่อปี คิดเป็นมูลค่า
เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 130 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี หรือ 4,329 ล้านบาท ซึ่งหากคิดเป็นอัตราการเติบโต จะทำให้มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นจากอัตราการเติบโตปกติอีกประมาณ 2%
ในระยะต่อไป (ปี 2025-2027) หากสมมติฐานให้ความสามารถในการส่งออกสินค้าทั้ง 2 กลุ่มทำได้ในสัดส่วนเดิม แต่ Capacity ในการขนส่งสินค้าของรถไฟความเร็วสูงสายนี้เพิ่มขึ้นจากจำนวนเที่ยวในการขนส่งที่ปรับเพิ่มเป็น 14 เที่ยวต่อวัน ซึ่งจะทำให้รถไฟสายนี้สามารถขนส่งสินค้าโดยรวมได้เพิ่มขึ้นเป็นปีละ 6.1 ล้านตัน จะทำให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าไปจีนได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2 แสนตันต่อปี (จากสินค้าทั้ง 2 กลุ่ม) คิดเป็นมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มขึ้นอีกปีละประมาณ 359 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 11,955 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยนที่ 33.3 บาท/เหรียญสหรัฐฯ)
กฤชนนท์ จินดาวงศ์
ปราโมทย์ วัฒนานุสาร
อังคณา สิทธิการ
Krungthai COMPASS
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS