LPP ตั้งเป้าโตเท่าตัวใน 5 ปี เร่งเครื่องขยายธุรกิจ วางแผน 3 ปีเข้าตลาดหุ้น

LPP เปิดยุทธศาสตร์ 5 ปี (2565-2569) มีรายได้ ทะลุ 2,300 ล้านบาท มุ่งเป็นบริษัทบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร จับมือพันธมิตรสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ วางแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2567

นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัวางแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำ ในธุรกิจให้บริการบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร (Property & Facility Management Service Provider) ตั้งเป้ารายได้รวมที่ 2,300 ล้านบาท ในปี 2569 โดยเติบโตจาก 857 ล้านบาทในปี 2564 ถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่สูงกว่า 200% คิดเป็นเติบโตเฉลี่ยปีละ 22% ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดธุรกิจบริการที่เติบโตเฉลี่ย 10 กว่า % ในแต่ละปี มีการปรับสัดส่วนโครงสร้างธุรกิจในส่วนของการบริหารจัดการโครงการใหม่ จากที่เคยมุ่งเน้นบริหารโครงการให้กับ LPN เป็นหลัก ก็จะขยายไปสู่การบริหารจัดการอาคารให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆ ให้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน โดยขยายจากสัดส่วนเดิมที่ 28% เป็น 45%

นอกจากนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นขยายสัดส่วนรายได้จากงานบริการอื่นๆ ที่ไม่ใช่งานบริหารโครงการ รวมถึงการขยายธุรกิจใหม่ๆ อาทิ งานวิศวกรรม งานซ่อมบำรุงอาคาร งานบริการด้านระบบรักษาปลอดภัย การบริการทำความสะอาด บริการงานสวน บริการกำจัดแมลง และอื่นๆ ให้เติบโตจากสัดส่วนเดิมที่ 30% เป็น 50% ในปี 2569” นายสุรวุฒิกล่าว ทั้งนี้ LPP มุ่งขยายฐานจากการบริหารโครงการพักอาศัยเป็นหลัก ไปสู่การบริหารอาคารในเชิงพาณิชย์ทั้งอาคารสำนักงาน โรงแรม โรงงานอุตสาหกรรม คลังสินค้า ศูนย์การค้า หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล และอื่นๆ ให้มากขึ้นอีกด้วย

โดยการเติบโตนี้จะมาจากการรุกและขยายตลาด การขยายธุรกิจและขอบเขตการให้บริการที่ครบวงจร พร้อมทั้งสร้างธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค ทั้งงานด้านวิศวกรรม งานซ่อมบำรุงอาคาร บริการงานสวน บริการกำจัดแมลง การบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ รวมไปถึงการวางโครงสร้างบริหารโครงการในรูปแบบของ Franchise เป็นต้น ในส่วนงานระบบรักษาความปลอดภัยนั้น LPP ได้เปิด บริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเสริมประสิทธิภาพนอกเหนือจากการใช้พนักงานรักษาความปลอดภัย

นอกจากนี้ เพื่อเป็นบริการพิเศษในการเพิ่มความสะดวกสบาย และช่วยลดภาระค่าครองชีพแก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการภายใต้การบริหารจัดการของ LPP บริษัทได้ขยายธุรกิจสู่บริการบนแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ในชุมชน (Community Commerce) ภายใต้ชื่อ “Living24 Store” ให้เป็นช่องทางในการเลือกซื้อสินค้าและบริการเพื่อการอยู่อาศัยที่ครบครันในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด และสะดวกในการจับจ่ายตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันที่เน้นความสะดวกสบายคล่องตัว อันถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของการบริหารจัดการโครงการ โดยบริษัทได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจหลายราย ในการนำเสนอสินค้าและมอบส่วนลดราคาพิเศษสำหรับจำหน่ายบน Living24 Store ได้แก่ น้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ น้ำแร่ธรรมชาติมิเนเร่ น้ำผลไม้ทิปโก้ เครื่องใช้ไฟฟ้า Samsung, Electrolux, Jenniferoom, LESASHA, @HOME, Lucky Misu, Bear, SMOOTHSKIN ของใช้ในบ้าน LocknLock, FN Outlet, PRALYN, Jason, EVANI, Hafele, บริการจัดเก็บของส่วนตัวนอกบ้าน/คอนโด I-Storego เป็นต้น” โดยลูกค้าสามารถเข้าใช้งานทั้งผ่านเว็บไซต์ www.living24.store ตลอด 24 ชั่วโมง หรือผ่านช่องทางไลน์เพียงแอดไลน์ @Living24Store

ทั้งนี้ เมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้มีมติให้ บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด มีการบริหารงานที่เป็นอิสระ โดยยังคงฐานะเป็นบริษัทในกลุ่ม แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ แต่สามารถกำหนดนโยบายและกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างมีอิสระ

ด้านนายอภิชาติ เกษมกุลศิริ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการบริษัท บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด กล่าวว่า โครงสร้างทางการเงินของกลุ่มธุรกิจบริการของ LPN เป็นธุรกิจบริการที่ไม่ต้องมีสินทรัพย์จึงไม่มีหนี้สิน ส่งผลให้มีความสามารถในการขยายธุรกิจได้อย่างคล่องตัว ทั้งจากการขยายธุรกิจด้วยการลงทุนเพิ่ม และการขยายธุรกิจผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การสร้างความร่วมมือทางธุรกิจ การร่วมทุน การควบรวมกิจการ ฯลฯ และวางแผนส่งบริษัท LPP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่า เมื่อ LPP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) อยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 4,000 ล้านบาท ในอีก 3 ปีข้างหน้าหลังจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าวคาดว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของ LPN โดยคาดการณ์ว่าจะส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ LPN เพิ่มขึ้นจากประมาณ 7,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 เป็นประมาณ 10,000 ล้านบาท


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment