{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย)มองทิศทางการลงทุนในปี 2565 จะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับฟันเฟืองเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัว มองเป็นโอกาสดีที่ควร “หาจังหวะซื้อ” โดยเชื่อว่าแนวโน้มระยะกลาง ตลาดยังมีโอกาสแกว่งตัวขึ้น
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในช่วง 1Q65 คาดตลาดแกว่งขึ้น โดยประเมินกรอบแกว่ง 1600-1700 จุด แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจกลับมาเดินหน้าทั้งภาคการบริโภคในประเทศที่ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ การส่งออกที่เติบโตดีต่อเนื่องจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ขยายตัว การฉีดวัคซีนที่ทั่วถึงขึ้นหนุนความเชื่อมั่นต่อการลงทุนปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่การท่องเที่ยวจะค่อยๆฟื้นตัว และมี Upside Risk หากนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุล กระตุ้นบาทแข็ง เอื้อต่อกระแสเงินทุนไหลเข้า ส่วนปัจจัยเสี่ยงแนะระวังแรงขาย LTF ครบกำหนด, ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น, สภาพคล่องที่ลดลง รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
สำหรับปี 2565 ประเมินกำไรต่อหุ้นของ SET ที่ 94.2 บาทต่อหุ้น (+13%YoY) อิง PE Ratio ที่ 18.6 เท่า เทียบเคียงกับระดับค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 5 ปีของ SET + 0.5 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation : SD) จะได้เป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2565 ที่ระดับ 1,750 จุด
ปัจจัยเสี่ยงที่ควรระวัง ได้แก่ 1.แรงขาย LTF ครบกำหนด แนะเพิ่มความระมัดระวังในช่วงต้นปี จากโอกาสเกิดแรงขายจากเม็ดเงิน LTF ที่ครบกำหนดการถือครอง 7 ปีปฎิทิน (ซื้อเมื่อปี 2559) โดยหากประเมินเม็ดเงินจากยอดซื้อสุทธิในปี 2559 ราว 2.2 หมื่นล้านบาท มีโอกาสถูกไถ่ถอน (Redemption) เป็นแรงกดดันระยะสั้นต่อการลงทุน แต่อย่างไรก็ดีมองเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีในจังหวะที่ตลาดย่อตัว 2.เศรษฐกิจจีนชะลอตัว คาด GDP จีน ปี 65 ที่ +5.2% เติบโตด้วยอัตราที่ชะลอลงจากปี 64 ที่ +8% แรงกดดันจากทั้งประเด็น COVID-19, มาตรการรัฐฯที่เข้มงวดมากขึ้น ผสานความเสี่ยงบริษัทอสังหาฯขนาดใหญ่ของจีนที่ผิดนัดชำระหนี้ซึ่งอาจลามไปยังบริษัทอื่นได้ แต่อย่างไรก็ดีภาครัฐฯก็พยายามอัดฉีดสภาพคล่องสู่ระบบ ผ่านการลด RRR ดังนั้นผลกระทบโดยรวมอาจยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด 3.การเก็บภาษีเทรดหุ้น มาตรการเก็บภาษีซื้อขายหุ้นสร้างแรงกดดันเพิ่มเติม โดยปัจจุบันรัฐฯกำลังศึกษา 2 แนวทางคือ 1) ภาษีการขายหุ้น (Financial Transaction Tax) และ 2) ภาษีกำไรจากการขายหุ้น (Capital gain Tax) โดยในเบื้องต้นเราคาดว่าภาครัฐฯมีโอกาสเก็บภาษีการขายหุ้น (ข้อ1) เนื่องจากใช้ข้อมูลในการจัดเก็บภาษีได้ง่ายกว่าภาษี
กำไรจากการขายหุ้น ซึ่งจะค่อนข้างยากต่อการคิดต้นทุน โดยหากใช้จริงคาดจะเป็นจิตวิทยาเชิงลบต่อการลงทุนเนื่องจากทำให้ต้นทุนของนักลงทุนมากขึ้น และน่าจะส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดชะลอตัวลงเช่นกัน
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS