{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
สยามราชธานี เผยกำไรสุทธิ 9 เดือนแรก ปี 2564 เพิ่มขึ้น 25.33% แตะระดับ 126.27 ล้านบาท เดินเครื่องนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการทำงาน-เพิ่มส่วนงาน SO NEXT เปิดรับพันธมิตร สนใจลงทุนสตาร์ทอัพ ซื้อกิจการบริษัทเป้าหมาย
นายณัฐพล วิมลเฉลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ SO เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทยังสามารถมีอัตราการเติบโตที่ดี โดยสำหรับผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกปีนี้(ม.ค.-ก.ย.2564) บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,554 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.45% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยได้แรงสนับสนุนจากรายได้ค่าเช่าและบริการปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 5.4% ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้บริการรถยนต์ให้เช่าซึ่งบริษัทได้ลูกค้าหน่วยงานของรัฐรายใหญ่รายหนึ่ง ที่มีการทำสัญญาในรูปของสัญญาระยะยาว (อายุสัญญา 5 ปี) ในช่วงเดือน เม.ย.63 ทำให้บริษัทมีการรับรู้รายได้เพิ่มเติมจากสัญญาดังกล่าว
บริษัทมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 291.74 ล้านบาท เติบโต 6% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 18.77% จากระดับ 17.69% และสามารถทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 126.27 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 25.33% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้เฉพาะงวดไตรมาส 3/64 บริษัทยังมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 43.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.23% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน
โดย ณ สิ้นเดือน ก.ย.2564 ที่ผ่านมา บริษัทมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 1,552.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.19% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นจากรายการลูกหนี้การค้าและสินทรัพย์ทางการเงินมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากสิ้นปี 2563 ขณะที่หนี้สินรวมอยู่ที่ 638.70 ล้านบาท ลดลง 4.02% ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของหนี้สินตามสัญญาเช่าการเงิน และส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 914.16 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.17% ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสะสมของบริษัทซึ่งเพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิของบริษัทที่เกิดขึ้นในระหว่างงวด
นายณัฐพล กล่าวถึงวิสัยทัศน์และนโยบายการบริหารธุรกิจหลังจากนี้ว่า สยามราชธานียังจำเป็นต้องปรับกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง หลังจากเริ่มทำดิจิทัลทรานฟอร์เมชั่นมาแล้ว 2-3 ปี โดยบริษัทมีเป้าหมายจะเน้นการทำงานแบบกระจายศูนย์ (Decentralize) ที่ให้อำนาจผู้บริหารแต่ละส่วนสามารถบริหารจัดการงานเองได้ ไม่ต้องผ่านผู้บริหารระดับสูง(CEO) ทั้งหมด รวมถึงใช้กระบวนการทำงานแบบ Agile ที่จะช่วยลดขั้นตอนการทำงานให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น เพื่อเตรียมตัวให้บริษัทพร้อมเติบโตแบบสเกลอัพได้ตลอดเวลา
ดังนั้นสิ่งที่บริษัทพยายามเพิ่มสัดส่วนงานให้มากขึ้นต่อจากนี้คือ งานทางด้าน SO NEXT ซึ่งเป็นส่วนงานที่นำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการทำงานมากขึ้น โดยปัจจุบันยังมีสัดส่วนรายได้ 5% โดยใช้กลยุทธ์คือการเปิดรับพันธมิตรทางธุรกิจมาร่วมกันทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะสตาร์ทอัพซึ่งปัจจุบันก็มีความร่วมมือกับบางแห่งแล้ว แต่ก็พร้อมที่จะรับพันธมิตรเพิ่มต่อเนื่อง หากโซลูชั่นของการทำธุรกิจสามารถตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าหรืออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทก็พร้อมเข้าไปลงทุนและหาลูกค้าให้ด้วย
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS