ทิสโก้ชูUCHและTBIOTECH

ธนาคารทิสโก้ แนะซื้อกองทุนเปิด ยูไนเต็ด ไชน่าเฮลท์แคร์ อินโนเวชั่น ฟันด์ (UCHI) และกองทุนเปิด ทิสโก้ ไบโอเทคโนโลยี เฮลธ์แคร์ (TBIOTECH) กองทุนนวัตกรรมการแพทย์จากสองประเทศมหาอำนาจ สหรัฐฯ และจีน คาดอัตราการเติบโตต่อเนื่องในทุกสภาวะ คู่แข่งทางธุรกิจน้อย กำไรขั้นต้นสูงกว่าเฮลธ์แคร์แบบดั้งเดิม และเป็นเมกะเทรนด์ของโลก

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารทิสโก้ประเมินว่าในช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตแบบชะลอตัวลง เพราะแรงหนุนเศรษฐกิจอย่างสภาพคล่องในระบบ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ จะทยอยหมดไป อีกทั้ง ดัชนี ISM ภาคการผลิตของสหรัฐฯ แม้จะยังสูงกว่า 50 จุดแต่ก็เริ่มปรับตัวเป็นขาลง ในภาวะเช่นนี้จะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน และให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าช่วงที่ผ่านมา

“ข้อมูลจากบลูมเบิร์กและศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งมีส่วนแบ่งต่อ GDP โลกมากถึง 24% นั้น ในไตรมาสที่ 3/2564 จะเติบโตเพียง 7% น้อยกว่าไตรมาส 2/2564 ที่คาดว่าจะเติบโต 8.1% ด้านเศรษฐกิจจีนที่มีส่วนแบ่งต่อ GDP โลกที่ 16% ก็เติบโตชะลอตัวเช่นกัน โดยในไตรมาสที่ 3/2564 คาดว่าจะเติบโต 5.2% น้อยกว่าไตรมาส 2/2564 ที่คาดว่าจะเติบโต 5.6% นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังเตรียมส่งสัญญาณปรับลดสภาพคล่องในระบบ โดยคาดว่าจะเริ่มในการประชุม Jackson Hole ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ ประเด็นนี้จะกดดันให้ส่วนต่างของพันธบัตร (Yield curve) ระยะสั้นและระยะยาวแบนราบลง ซึ่งจากการเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2554 พบว่า ในช่วงที่ Yield curve ระยะสั้นและระยะยาวเข้ามาใกล้กัน หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์รวมถึงนวัตกรรมการแพทย์มักจะสร้างผลตอบแทนอย่างโดดเด่นกว่าหุ้นวัฏจักรเศรษฐกิจ” นายณัฐกฤติกล่าว

ดังนั้น ในช่วงนี้ธนาคารทิสโก้จึงยังเน้นย้ำให้ลูกค้าโฟกัสการลงทุนไปที่หุ้นกลุ่ม ‘นวัตกรรมการแพทย์’ ของสหรัฐฯ และจีน เพราะในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจเฮลธ์แคร์ของทั้งสองประเทศมีอัตราการเติบโตสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยสหรัฐฯ และจีนมีเม็ดเงินลงทุนในการวิจัยยาตัวใหม่ด้วยนวัตกรรมไบโอเทคที่สูงอย่างต่อเนื่อง การทุ่มงบวิจัยยาที่มากขนาดนี้ทำให้ตั้งแต่ปี 2557จนถึงปี 2560 ทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างถือสิทธิบัตรยาใหม่ๆ เพิ่มขึ้นกว่า 4,000 รายการต่อปี

ทั้งนี้ การมียาใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอนี้เอง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลประกอบการธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์มีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากผลประกอบการของกลุ่มไบโอเทคของสหรัฐฯ ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่น มีระดับอัตราผลตอบแทนจากส่วนของเจ้าของ (ROE) ที่สูงถึง 37% มากกว่าค่าเฉลี่ยของธุรกิจเฮลธ์แคร์ (Health Information Services) ที่อยู่ในระดับ 19.27% และถ้าไปดูอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ธุรกิจ Biotech ก็สามารถสร้างผลกำไรขั้นต้นได้ 83.89% ขณะที่กลุ่มเฮลธ์แคร์ทำได้ 54.98%

นางวรสินี เศรษฐบุตร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุน และสื่อสารการตลาด สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ (Mrs.Vorasinee Sethabutr, Head Of Wealth Product Development and Marketing Communication TISCO Bank Public Company Limited) เปิดเผยว่า ธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์มีความน่าสนใจตรงที่เป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ของโลกที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากสังคมสูงอายุที่เกิดขึ้นทั่วโลก ผลประกอบการมีโอกาสเติบโตในทุกภาวะเศรษฐกิจ อีกทั้งเป็นธุรกิจที่มีคู่แข่งทางธุรกิจจำนวนไม่มากนัก เนื่องจากใช้นวัตกรรมขั้นสูงในการดำเนินธุรกิจ ด้านราคาหุ้นก็มีโอกาสปรับขึ้นแรง หากยาที่อยู่ในระหว่างการวิจัยได้รับการอนุมัติจากองค์กรอาหารและยา และมักจะถูกเข้าซื้อกิจการจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก

สำหรับกองทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์ของสหรัฐฯ และจีนที่ธนาคารทิสโก้คาดว่ามีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้ามี 2 กองทุน คือ

1. กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ไชน่า เฮลท์แคร์ อินโนเวชั่น ฟันด์ (UCHI) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) กองทุนรวมตราสารทุน เน้นลงทุนในธุรกิจเฮลธ์แคร์ ของประเทศจีนผ่านกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ หรือกองทุนรวมอีทีเอฟ ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นซึ่งมีความเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากการพัฒนานวัตกรรมด้านเฮลธ์แคร์ (Healthcare Innovation) ของประเทศจีน ซึ่งเกี่ยวเนื่องหรือได้รับประโยชน์จากการพัฒนานวัตกรรมด้านเฮลธ์แคร์ของจีน เช่น การพัฒนาและค้นคว้าด้านเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ การบริหาร สถานพยาบาล การผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ระบบไอทีด้านการดูแลสุขภาพ เป็นต้น ทั้งนี้ กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก

ลงทุนในบริษัทที่น่าสนใจคือ Cansino Biologics ผู้ผลิตวัคซีนโควิดแบบเข็มเดียว และแบบชนิดสูดดม ซึ่งมีประสิทธิภาพในการช่วยเรื่องระบบหายใจโดยตรงและใช้ปริมาณวัคซีนที่น้อยกว่าการฉีดถึง 5 เท่า นอกจากนี้บริษัทยังพัฒนาวัคซีนอีก 16 ชนิด ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ ไข้สมองอักเสบ ปอดอักเสบ และบริษัทมีจุดเด่นในเรื่องสภาพคล่อง เพราะเป็นบริษัทวัคซีนบริษัทที่สามารถจดทะเบียนซื้อขายได้ทั้งในตลาด A-Share และ H-Share

อีกหนึ่งบริษัทคือ Shenzhen Mindray Bio-Medical Electronics ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ที่สามารถนำไปวางขายในโรงพยาบาลชั้นนำของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลิตภัณฑ์เด่น คือ เครื่องช่วยหายใจยี่ห้อ Mindray ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดเครื่องช่วยหายใจของโลกที่ 40% และปัจจุบันมีสัดส่วนยอดขายต่างประเทศที่ 42% และอีก 58% ขายในประเทศ และในไตรมาส 1 ที่ผ่านมากำไรสุทธิของบริษัทก็เติบโต 31% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน

2. กองทุนเปิด ทิสโก้ ไบโอเทคโนโลยี เฮลธ์แคร์ (TBIOTECH) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) กองทุนรวมตราสารทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) การวินิจฉัยโรค (Diagnostics) และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต (Life Sciences Tools) ทั่วโลกผ่านกองทุน Polar Capital Funds plc - Biotechnology ชนิดหน่วยลงทุน I US Dollar (กองทุนหลัก) ทั้งนี้ กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก

สำหรับบริษัทที่กองทุนหลักเข้าไปลงทุน เช่น Biogen ซึ่งล่าสุดได้คิดค้นยาอัลไซเมอร์ที่ชื่อว่า Aduhelm และได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ไปเมื่อเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ Biogen ยังมียาอีกหลายชนิด เช่น ยารักษาหลอดเลือด รวมถึงยาที่เกี่ยวข้องกับประสาทวิทยาอีกจำนวนมากที่อยู่ในขั้นตอนทดลอง ด้านผลประกอบการในไตรมาส 1/2564 ที่ผ่านมา กำไรสุทธิของบริษัทสามารถปรับตัวขึ้นได้กว่า 70% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

อีกบริษัทคือ Regeneron มียาไบโอเทคที่เป็นไฮไลต์คือ Eylea ซึ่งเป็นยารักษาเกี่ยวกับโรคตา ความดันตา และเบาหวานขึ้นตา สำหรับยาอีกตัวหนึ่ง ชื่อว่า Dupixent สำหรับรักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน โรคหอบหืด ริดสีดวงใจจมูก โดยปัจจุบันมีชาวอเมริกันต้องการยาตัวนี้มากกว่า 3 ล้านคน และตัวอย่างสุดท้ายคือ ยา Libtayo ซึ่งได้รับการอนุมัติจาก FDA เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เป็นยาที่สามารถรักษาโรคมะเร็งในระยะแพร่กระจายได้ นอกจากนี้ ยังมียาที่อยู่ในระหว่างการทดลองมากถึง 30 ชนิด ด้านผลประกอบการก็ถือว่าอยู่ในระดับที่โดดเด่น โดยในไตรมาส 1/2564 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment