{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
HTECHแย้มภาพรวมธุรกิจอยู่ในเทรนด์การเติบโตอุตฯฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ในดีมานด์พุ่ง อุตฯยานยนต์ฟื้นตัว โดยเฉพาะการเข้าสู่ยุค EV หนุนความต้องการ Cutting Tools ระดับไฮเอนด์ เร่งขยายตลาดนี้ เพิ่มกำลังการผลิตที่ตั้งเป้ารายได้ปี 64 โต 7%
นายพีท ริมชลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HTECH เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2564 จะเติบโต 7% และมุ่งเน้นความสามารถการทำกำไร เมื่อเทียบกับปีก่อนมีรายได้อยู่ที่ 965 ล้านบาท กำไรสุทธิ 39 ล้านบาท จากความต้องการสินค้ากลุ่มฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) เพิ่มสูงขึ้น รับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และการย้ายฐานการผลิตกลับเข้ามาในประเทศในช่วงปีที่ผ่านมา ทําให้กลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมนี้มีคําสั่งซื้อเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3-4 ของปีก่อนต่อเนื่องมายังปัจจุบัน โดยประเทศไทยยังเป็นฐานการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก และเกือบ 30% ของมูลค่าการส่งออกเป็นสินค้ากลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของไทย จึงเป็นโอกาสของบริษัทฯ ในการขยายตลาดนี้ให้เพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่ อุตสาหกรรมยานยนต์ในปีนี้ คาดจะฟื้นตัวจากปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะโปรเจกต์พัฒนายานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งบริษัทฯ เตรียมพร้อมรับความต้องการ Cutting Tools ของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ให้สอดรับทิศทางตลาดที่คาดการณ์จะเติบโตเร็วกว่าที่คาดไว้ และเป็นอีกตลาดใหม่ที่น่าสนใจ
“เราอยู่ในยุคของเทคโนโลยี กระแสความต้องการด้านไอทีเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการในการจัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ รับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี Cloud และ IoT โดยกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ได้แก่ สมาร์ทโฟน แล็ปท็อป คอมพิวเตอร์ วีดีโอเกม รวมทั้ง เทคโนโลยี VR / AR และ AI มีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้น รวมทั้ง กระแส cryptocurrency ที่เข้ามาในประเทศไทย ก็มีตลาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ ความต้องการในระดับองค์กรธุรกิจที่ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ทำให้มีความต้องการจัดเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้น จึงมั่นใจว่า อุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์จะยังสามารถเติบโตแข็งแกร่งในระยะยาว และเราได้รับอานิสงส์ในฐานะ Cutting Tools Supplier หลักของผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่ที่ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ให้กับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์บริษัทฯ มองเห็นโอกาสจากชิ้นส่วน EV ที่กำลังเกิดขึ้นใน ประเทศไทย และคาดว่าจะมีความต้องการสูงขึ้นในระยะ 5 ปีจากนี้ เราจึงเตรียมพร้อมเพื่อขยายโอกาส และมั่นใจในฐานะหนึ่งในผู้นำการผลิต Cutting Tools จะพร้อมเติบโตไปพร้อมกับความก้าวหน้าของอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ความต้องการสินค้าของบริษัท สัดส่วนหลักมาจากลูกค้ากลุ่มฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ราว 40% และกลุ่มยานยนต์ 31%” นายพีท กล่าว
อย่างไรก็ดี สำหรับภาพรวมธุรกิจของบริษัทย่อยในต่างประเทศภายใต้สถานการณ์โควิด-19 มองว่าจะเริ่มมีการฟื้นตัวตามลำดับ โดยในปีนี้มีแผนเดินหน้าขยายกำลังการผลิตในประเทศเวียดนามและสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติมเนื่องจากมีตลาดและลูกค้าพร้อมรองรับอยู่แล้ว โดย บริษัทย่อยที่เวียดนามมีศักยภาพในการเติบโตสูง แต่ปัจจุบันมีกำลังการผลิตที่จำกัด จึงมีแผนเพิ่มกำลังการผลิต โดยคาดจะสามารถส่งเครื่องจักรจากไทยไปได้ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ อีกทั้ง บริษัทย่อยแห่งใหม่ Mastertech Diamond Products Company (MDP) ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดอเมริกาเหนือ จึงมีแผนลงทุนขยายโรงงานใหม่ที่อเมริกา และสั่งซื้อเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีสูงสำหรับผลิตเอง เพื่อลดเวลาการส่งของให้ลูกค้า และลดต้นทุนเทียบกับการนำเข้า จะทำให้บริษัทได้เปรียบทางการแข่งขันทั้งเรื่องราคาและระยะเวลาส่ง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการทยอยติดตั้งเครื่องจักร คาดว่าใช้งบลงทุนในปีนี้ประมาณ 100 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายขนาดโรงงานที่อเมริกาเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวภายในปีหน้า เพื่อสนับสนุนการเติบโตระยะยาวต่อไป
นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตและจําหน่ายเครื่องมือตัดเฉือนโลหะที่มีลักษณะเฉพาะ (Special Cutting Tools) ในไตรมาส 1/2564 มีอัตรากําไรดีขึ้นอย่างมีนัยสําคัญจากร้อยละ 9.90 เป็นร้อยละ 22.74 ของรายได้รวม เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น และบริษัทใหญ่มีสัดส่วนต้นทุนที่ลดลง จากมาตรการบริหารต้นทุนค่าแรงในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ต่อเนื่องจากช่วงไตรมาส 2-3 ของปีก่อน โดยบริษัทฯ จะยังคงมุ่งเน้นการเติบโตของสินค้ากลุ่มนี้ และรักษาความสามารถในการทำกำไรที่ดีต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานประจำปี 2564 เป็นอีกปีที่ท้าทายบริษัทฯ จากสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ แต่เนื่องด้วยสินค้ากลุ่มฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์มีความต้องการเพิ่มขึ้น ควบคู่การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผลประกอบการงวดประจำไตรมาส 1/2564 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 263.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.05 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.49 จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นรายได้จากการขาย 252.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.51 ส่วนงานธุรกิจผลิตและจําหน่ายเครื่องมือที่ใช้ในการตัดโลหะที่มีลักษณะเฉพาะ (Special Cutting Tools) มีรายได้จากลูกค้าภายนอก 152.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 41.32 ซึ่งรายได้จากส่วนงานนี้ประกอบไปด้วยรายได้จากโรงงานของบริษัทใหญ่ บริษัทย่อยในประเทศ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รวมถึงรายได้จากบริษัทย่อยใหม่ MDP ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งได้นําเข้ามารวมในงบการเงินไตรมาส 2/2563 เป็นไตรมาสแรก โดยในไตรมาส 1/2564 ที่ผ่านมา MDP มีรายได้จากบุคคลภายนอก 45.32 ล้านบาท ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทําให้รายได้จากส่วนงานนี้ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ อยู่ที่ 39.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.39 ล้านบาท หรือร้อยละ 108.50 จากงวดเดียวกันของปีก่อน
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS