VNGมั่นใจ“เทิร์นอะราวด์” หลังงบQ1/64 พลิกมีกำไร 129.5 ล้าน

VNG เปิดงบไตรมาส 1/64 มีกำไร 129.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 171% จากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 182.89 ล้านบาท มั่นใจปีนี้ พลิกมีกำไรในรอบ 4

นายวรรธนะ เจริญนวรัตน์ กรรมการ บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (VNG) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 1/64 มีกำไรสุทธิ 129.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 171% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีผลขาดทุน 182.89 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมจากการขายอยู่ที่ 3,139.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 1,231.0 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณขายแผ่นเอ็มดีเอฟ และแผ่นปาร์ติเกิ้ลเพิ่มขึ้นประมาณ 90% และ 45% ตามลำดับ ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของแผ่นเอ็มดีเอฟและแผ่นปาร์ติเกิ้ลเพิ่มขึ้นประมาณ 2% และ 5% ตามลำดับ

“มั่นใจว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2564 จะพลิกกลับมามีกำไรในรอบ 4 ปี จากก่อนหน้านี้ประสบปัญหาขาดทุนซึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ และการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ซึ่งโครงสร้างรายได้ของบริษัท 80% มาจากการส่งออกไปยังกลุ่มตะวันออกกลาง เกาหลีใต้ และเวียดนาม อย่างไรก็ตาม หลังปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ สิ้นสุดลง และตลาดหลักในตะวันออกกลาง เกาหลีใต้ และ เวียดนาม เริ่มฟื้นตัว หลังมาตรการฉีดวัคซีนทำให้ควบคุมสถานการณ์โควิดได้ เป็นปัจจัยหนุนให้รายได้และกำไรในไตรมาส 1/64 ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ถือเป็นการส่งสัญญาณการเทิร์นอะราวด์อย่างเต็มรูปแบบในปีนี้”

นอกจากนี้ กลุ่มบริษัท ยังได้มีการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่แผ่นไม้ OSB และไม้แบบก่อสร้าง Shuttering Board โดยโรงงาน OSB กำลังการผลิต 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน แห่งใหม่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี มูลค่าการลงทุนกว่า 2,300 ล้านบาท สร้างเสร็จและจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3/64 ส่วนโรงงานไม้แบบก่อสร้างกำลังการผลิต 300 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ก่อสร้างจะแล้วเสร็จและดำเนินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาส 4/64

สำหรับโครงการขยายการลงทุนพลังงานทดแทน ในช่วงที่ผ่านมาวางงบลงทุนรวมไว้ที่ 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันได้เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาโรงงาน (Solar rooftop) ที่จังหวัดสระบุรี กำลังการผลิต 3.5 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าชีวมวลที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมในจังหวัดสระบุรีและชลบุรี โดยตั้งเป้าหมายภายในปี 2565 จะมีกำลังผลิตโรงไฟฟ้า Solar rooftop เพิ่มเป็น 20 เมกะวัตต์ และโรงงานไฟฟ้าพลังงานชีวมวล 40 เมกะวัตต์ เพื่อให้ลดต้นทุนทางการผลิตโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าได้ถึง 30% จากปัจจุบันที่ประมาณ 70% และคาดว่าจะใช้ระยะเวลาถึงจุดคุ้มทุนภายใน 4-5 ปี หลังจากขายไฟเข้าระบบ


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment