“นพพร ศุภพิพัฒน์”แจงสวน ”ณพ ณรงค์เดช” ได้ให้สัมภาษณ์โพสต์ทูเดย์

นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ได้ทำหนังสือชี้แจงหลังจาก นายณพ ณรงค์เดช ได้ให้สัมภาษณ์โพสต์ทูเดย์ วันที่ 2 กันยายน 2563 โดยระบุว่า “การซื้อขายหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยีฯ ดำเนินการถูกต้องตามสัญญาเงื่อนไขที่ได้ระบุไว้ โดยการโอนหุ้นและชำระค่าหุ้นส่วนแรก 190 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐได้เสร็จสิ้นไปแล้ว สำหรับการจ่าย Bonus Payment (โบนัส เพย์เม้นท์) วงเงิน 525 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ไม่สามารถชำระให้ได้ตามที่นายนพพร ศุภพิพัฒน์ อดีตผู้บริหาร บริษัทวินด์ เอนเนอร์ยี โฮลดิ้ง จำกัด ออกมาให้ข่าว เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไขที่จะได้รับโบนัส โดยภายหลังที่เข้าไปบริหารในบริษัทฯ แล้วพบว่าในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 5 แห่ง มีปัญหาทางข้อกฏหมายทั้งเรื่องที่ดิน ยังเป็นที่ดินเช่า และใบอนุญาตประกอบกิจการ ซึ่งในทางกฏหมายเรียกว่าการซื้อขายทรัพย์สินผิดคำพรรณาหรือเรียกว่าสินค้าไม่ตรงปกก็ได้”

นอกจากนี้ยังได้ให้สัมภาษณ์ในทำนองเดียวกันกับ wealthythai.com ในวันที่ 2 กันยายน 2563 (https://www.wealthythai.com/web/contents/WT200900023), prachachat.net ในวันที่ 6 กันยายน 2563 (https://www.prachachat.net/economy/news-517048) และในการแถลงข่าวในวันที่ 19 สิงหาคม 2563

ผมจึงต้องโต้แย้งตามสิทธิและขอเรียนท่านว่าข้อความด้านบนเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ที่คลุมเครือและไม่ตรงข้อเท็จจริง ความจริงคือในสัญญาซื้อขายหุ้นระบุว่าให้ชำระเงินค่าหุ้นงวดแรกภายในเดือนตุลาคม 2558 เป็นเงิน 175 ล้านเหรียญสหรัฐและจำนวนที่เหลือ 525 ล้านเหรียญสหรัฐกำหนดชำระหลัง 5 โครงการสุดท้าย (ซึ่งเช่าที่ดิน ส.ป.ก) ดำเนินการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าแล้ว ดอกเบี้ยผิดนัดตามสัญญาคือร้อยละ15 ปรากฎว่าผมได้รับเงินจำนวน 90.50 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเดือนธันวาคม2558 และจำนวน 85.75 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 รวม 176.25 ล้านเหรียญสหรัฐ (ไม่ใช่ 190 ล้านเหรียญสหรัฐตามที่นายณพอ้าง) เนื่องจากผิดนัดชำระและล่าช้าเป็นเวลาหลายปี นายณพจึงยังค้างเงินต้นและดอกเบี้ยสำหรับเงินค่าหุ้นงวดแรกตามคำชึ้ขาดอนุญาโตตุลาการถึงสิ้นเดือนสิงหาคม2563 ประมาณกว่า 69.37 ล้านเหรียญสหรัฐและเงินส่วนที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยเป็นเงินประมาณ 511.50 ล้านเหรียญสหรัฐ กับค่าชดเชยสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีรวมดอกเบี้ยอีกกว่า 7ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่จ่าย ทั้งนี้ยังมีหนี้ที่จะถึงกำหนดชำระสิ้นปีนี้อีก 100 ล้านเหรียญ

ท่านสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงด้านบนโดยเฉพาะรายละเอียดเรื่องการจ่ายเงิน และความจริงที่นายณพเป็นผู้แพ้คดีโดยอ่านคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการทั้งฉบับภาษาอังกฤษและฉบับแปลได้ที่ http://www.thaibilliondollarheist.com/#rec224833673

ส่วนค่าหุ้นส่วนที่เหลือจำนวน 525 ล้านเหรียญสหรัฐที่นายณพตั้งชื่อเอาเองว่า ''Bonus Payment'' นายณพไม่จ่ายโดยอ้างปัญหาด้านที่ดินและไปฟ้องร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อเท็จจริงคือในวันที่ 31 มกราคม 2560 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติของ ส.ป.ก.จังหวัดชัยภูมิที่นำพื้นที่ในเขตปฏิรูปที่ดินไปให้เอกชนเช่าเพื่อสร้างกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้าhttps://www.nationtv.tv/main/content/378533149/?=MOSTVIEW_FULLPATH.%27day/%27.$news_model_list[0][%27CategoryNameEng%27].%27/%27?%3E ขณะนั้นทางบริษัทวินด์ฯ ยังไม่ได้ก่อสร้าง 5 โครงการสุดท้ายดังกล่าวซึ่งอยู่ในเขต ส.ป.ก. ต่อมา คสช.ได้ออกคำสั่งที่ 31/2560 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน2560 คุ้มครองผู้ประกอบการที่เกิดผลกระทบจากคำพิพากษา โดยให้กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินการแก้ไขและปรับปรุงกฏหมาย ซึ่งระหว่างที่มีการแก้ไขกฏหมายก็ให้ดำเนินการไปพลางก่อน

เมื่อเห็นสถานการณ์คลี่คลายเช่นนี้บริษัทวินด์ฯ จึงเริ่มดำเนินการขออนุมัติสินเชื่อในการสร้างโครงการทั้ง 5 รวมเป็นเงินทั้งสิ้นมากกว่าสื่หมื่นล้านบาท จนในที่สุดได้รับอนุมัติเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2560 (https://uk.reuters.com/article/wind-energy-holdings-financing/thailands-wind-energy-holdings-gets-1-14-bln-financing-idUKL3N1NZ1TT) ( (https://www.matichon.co.th/publicize/news_754017)

ดังนั้นก่อนที่บริษัทวินด์ฯ โดยการควบคุมของนายณพจะเริ่มก่อสร้างโครงการทั้ง 5 นั้นปัญหาเรื่องที่ดินได้คลี่คลายไปแล้ว ไม่เช่นนั้นทางธนาคารคงไม่ปล่อยกู้เงินจำนวนมหาศาลแก่โครงการ และเมื่อโครงการสร้างเสร็จ - ดำเนินการผลิตไฟฟ้าแล้วก็จึงบรรลุเงื่อนไขตามสัญญาซื้อขายหุ้นซึ่งนายณพย่อมมีหน้าที่ต้องปฎิบัติตามสัญญาชำระเงินส่วนที่เหลือ

การที่นายณพยกเรื่องที่ดิน ส.ป.ก. มาฟ้องเป็นคดีต่ออนุญาโตตุลาการจึงเป็นแค่ข้ออ้างไม่จ่ายเงินตามคำชี้ขาดฯ เกือบ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ การเอาคดีที่ยังไม่มีคำชี้ขาดมาเป็นข้ออ้างในการไม่จ่ายเงินตามคดีที่ชี้ขาดแล้วเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล หากนายณพฟ้องคดีด้วยความสุจริตจริงก็ควรนำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางเป็นประกัน ถ้าชนะคดีก็ได้คืนไปแต่ถ้าแพ้ก็ต้องถูกยึด แต่นายณพก็ปฎิเสธ อีกทั้งนายณพก็คงจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างชำระในส่วนของเงินค่าหุ้นงวดแรกจำนวน 69.37 ล้านเหรียญสหรัฐไปแล้ว เพราะต่อให้ชนะคดี ส.ป.ก.นายณพก็ยังคงผูกพันต้องจ่ายเงินงวดแรกให้ครบอยู่ดี

ที่น่าสังเกตอีกข้อคือนายณพดำเนินการให้นางจาริญา บัวทรัพย์ ซึ่งเป็นญาติของนางกอแก้ว บุณยะจินดา (https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B9%8C_%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B2) มารดาภรรยานายณพ ไปขายหุ้นให้กับบริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน)* เมื่อ 5 ตุลาคม 2561 ในราคา 600 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นการประเมินมูลค่าบริษัทวินด์ที่ 65,280 ล้านบาท (600 บาท x จำนวนหุ้นวินด์ทั้งหมด 108.8 ล้านหุ้น) ในขณะที่ราคาที่ผมขายให้คือ 700 ล้านเหรียญ สำหรับหุ้น 60% ในวินด์ฯ ซึ่งคิดเป็นราคาแค่หุ้นละไม่ถึง 350 บาท ซึ่งนายณพจ่ายมาไม่ถึงหนึ่งส่วนสี่ คือหุ้นละไม่ถึง 90 บาท (หนำซ้ำยังไม่ได้เอาเงินตัวเองมาจ่าย) โดยอ้างของไม่ดี ไม่ตรงปกต่างๆ นาๆ แต่ในขณะเดียวกันไปขายหุ้นละ 600 บาท 1.5 ล้านหุ้น รับเงินเข้ากระเป๋าไป 900 ล้านบาท โดยไม่นำมาจ่ายเจ้าหนี้ ผมอยากให้ท่านใช้ดุลยพินิจพิจารณาเอาเองว่านี่คือพฤติกรรมของนักลงทุนหรือมิจฉาชีพ

อย่างไรก็ดีคาดว่าคดีที่ดิน ส.ป.ก. ทางอนุญาโตตุลาการน่าจะมีคำชี้ขาดสิ้นปีนี้ ซึ่งคำชี้ขาดคดีนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งเดียวที่ไม่ตรงปกในเรื่องนี้คือตัวนายณพเองที่ภาพลักษณ์ (ในอดีต) เป็นอย่างหนึ่ง แต่พฤติกรรมแท้จริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง ขอให้ท่านโปรดติดตาม


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment