{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

กรมสรรพสามิตเดินหน้าปราบปรามสินค้ายาสูบผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 จนถึงปัจจุบัน สามารถจับกุมบุหรี่ผิดกฎหมายได้ 3,247 คดี ของกลาง 620,204 ซอง คิดเป็นมูลค่าภาษีที่รัฐสูญเสียกว่า 32.89 ล้านบาท ค่าปรับและประมาณการค่าปรับ รวมกว่า 453.49 ล้านบาท ตอกย้ำให้เห็นถึงความจริงจังในการบังคับใช้กฎหมาย การคุ้มครองผู้บริโภค และการสร้างความเป็นธรรม ทางการค้า ด้วยการพัฒนาการทำงานเชิงรุกด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และขยายความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการสกัดกั้นยาสูบผิดกฎหมาย
ดร. พรชัย ฐีระเวช อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้ดำเนินมาตรการปราบปรามสินค้ายาสูบที่มิชอบด้วยกฎหมายอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมาย และคุ้มครองผู้บริโภคจากสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 จนถึงปัจจุบัน (18 พ.ย. 2568) กรมสรรพสามิตสามารถจับกุมคดีเกี่ยวกับสินค้ายาสูบที่มิได้เสียภาษีสรรพสามิต จำนวน 3,247 คดี ตรวจยึดของกลาง จำนวน 620,204 ซอง คิดเป็นมูลค่าภาษีที่รัฐสูญเสียกว่า 32.89 ล้านบาท พร้อมทั้ง ดำเนินการเปรียบเทียบปรับและประมาณการค่าปรับรวม 453.49 ล้านบาท ผลการดำเนินงานดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกรมสรรพสามิตในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ผ่านการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชน เพื่อป้องกันและลดการแพร่กระจายของยาสูบที่ไม่ได้เสียภาษี อันเป็นการสร้างความเป็นธรรมด้านการแข่งขันทางการค้าและคุ้มครองผลประโยชน์ของประเทศ
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมสรรพสามิตเดินหน้าพัฒนาและยกระดับ การทำงานเชิงรุก โดยเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการติดตาม ตรวจสอบ และวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงขยายความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อปิดช่องทางการเคลื่อนย้ายสินค้าผิดกฎหมาย พร้อมทั้งสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชน และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสกัดกั้นยาสูบหนีภาษี ทั้งนี้ หากประชาชนท่านใดที่พบการกระทำผิดกฎหมาย สามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศหรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวทิ้งท้ายว่า กรมสรรพสามิตเชื่อมั่นว่าการปราบปราม ที่มีประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีการพัฒนาระบบข้อมูลในการตรวจสอบที่ทันสมัย และสร้างความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายสรรพสามิตเกิดผลเป็นรูปธรรม นำไปสู่ระบบการจัดเก็บภาษีที่ยุติธรรม โปร่งใส และยั่งยืน อันเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศต่อไป
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS