{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
สถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดงานสัมมนาวิชาการประจำปี Energy Symposium 2025 เรื่อง : การค้าโลก “ป่วน” ภูมิอากาศโลก “เปลี่ยน” แผนพลังงานไทย “ปรับ” อุตสาหกรรมไทย จะไปต่ออย่างไรให้ยั่งยืน เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยภายใต้ภาวะความผันผวน พร้อมนำเสนอทิศทางการปรับแผนพลังงานของประเทศให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดจนเปิดเวทีแลกเปลี่ยนกลยุทธ์การปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมไทยในการรับมือกับความเสี่ยงด้านพลังงาน เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี เพื่อเตรียมความพร้อมและยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน โดยมีผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรมเข้าร่วม ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ซึ่งล้วนส่งผลให้เกิดความผันผวนและความไม่แน่นอน โดยเฉพาะในภาคพลังงานที่ถือเป็นต้นทุนสำคัญของทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ การที่ประเทศไทยได้ปรับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero จากปี ค.ศ. 2065 มาเป็นปี ค.ศ. 2050 นับเป็นความท้าทายครั้งสำคัญ ที่จะผลักดันให้ภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัวด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างยั่งยืน
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เล็งเห็นถึงความสำคัญของการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงจากความไม่แน่นอนในทุกมิติ จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์สำคัญในการยกระดับภาคอุตสาหกรรม First Industries to Next-Gen Industries ครอบคลุม 48 กลุ่มอุตสาหกรรม 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรม New S-Curve ผ่านนโยบาย “4 GO” ได้แก่ GO Digital & AI การยกระดับอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และปัญญาประดิษฐ์ (Al), GO Innovation การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาขับเคลื่อนอุตสาหกรรม, GO Global การพัฒนาสินค้าและบริการไทยเพื่อขยายโอกาสสู่ตลาดโลก และ GO Green การผลักดันให้อุตสาหกรรมไทยก้าวสู่การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนและการปรับตัวสู่เป้าหมาย Net Zero
ที่ผ่านมา ส.อ.ท. ได้ร่วมมือกับกระทรวงพลังงาน ในการขับเคลื่อนการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมด้านพลังงานมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการต่างๆ การจัดฝึกอบรม การเผยแพร่องค์ความรู้และนวัตกรรม รวมถึงการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมสำคัญ คือ การจัดงานสัมมนาวิชาการประจำปี Energy Symposium 2025 ในครั้งนี้
นอกจากนี้ ภายในงานยังจัดให้มีการออกบูธนิทรรศการ “นวัตกรรม เทคโนโลยีด้านพลังงานและ AI” จากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยีด้านพลังงาน และปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมทั้งเป็นเวทีประชาสัมพันธ์และขยายเครือข่ายทางธุรกิจ เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้แลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ และมุมมองที่เป็นประโยชน์ เพื่อนำไปต่อยอดสู่การพัฒนาและสร้างโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ การค้าโลก “ป่วน” ภูมิอากาศโลก “เปลี่ยน” แผนพลังงานไทย “ปรับ” อุตสาหกรรมไทย จะไปต่ออย่างไรให้ยั่งยืน โดยกล่าวถึงสถานการณ์พลังงานของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ภัยธรรมชาติ และเทคโนโลยี ซึ่งกำลังเร่งให้ทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทย ต้องปรับตัวเชิงนโยบายเพื่อรักษาความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ความผันผวนของราคาพลังงานจากปัจจัยภายนอก รวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า ได้ส่งผลต่อการบริหารจัดการพลังงานของภาครัฐอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการที่ “พลังงานสะอาด” ถูกนำมาใช้เป็นประเด็นในการกีดกันทางการค้า (Non-Tariff Barrier) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ขณะเดียวกัน โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ทุกประเทศต้องเร่งดำเนินมาตรการเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนและมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งประเทศไทยได้ปรับเป้าหมายการบรรลุ Net Zero Emission จากปี 2065 มาเป็นปี 2050 เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางของนานาประเทศในภูมิภาค
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้ยึดหลัก “The Energy Trilemma for Transition Era” ในการกำหนดนโยบายพลังงาน ซึ่งประกอบด้วยสามเสาหลักสำคัญ ได้แก่ ความมั่นคงทางพลังงานในฐานะเป้าหมายอันดับแรกของประเทศ พลังงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจในฐานะฟันเฟืองหลักของการพัฒนาอุตสาหกรรม และพลังงานคาร์บอนต่ำซึ่งเป็นเป้าหมายระดับโลกเพื่อบรรลุการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ นโยบายพลังงานของกระทรวงยังสอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งเน้นการลดค่าพลังงาน เพิ่มรายได้ให้ประชาชน ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ โดยตั้งเป้าให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเกินร้อยละ 50 ภายในปี 2580 ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้ดำเนินนโยบายในกรอบ “4D1E” ได้แก่ Digitalization, Decarbonization, Decentralization, De-regulation และ Electrification เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในทุกมิติ
หนึ่งในแนวนโยบายสำคัญที่กระทรวงพลังงานให้ความสำคัญ คือ การสร้างรายได้และลดรายจ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชนผ่านโครงการ “โซลาร์ภาคประชาชน” และ “โซลาร์ชุมชน” ซึ่งมีเป้าหมายกำลังการผลิตรวมกว่า 1,500 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสร้างมูลค่าการลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาท และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 0.8 ล้านตันต่อปี
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “โซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร” จำนวน 1,200 ระบบ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 700,000 ไร่ รวมถึงมาตรการลดหย่อนภาษีโซลาร์เซลล์สูงสุด 200,000 บาทต่อครัวเรือน เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการอย่างกว้างขวาง อีกทั้งยังมีการพัฒนาโซลาร์ลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลักของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (เขื่อนภูมิพล เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ) ซึ่งมีศักยภาพการผลิตรวมกว่า 1,638 เมกะวัตต์ มูลค่าการลงทุนกว่า 53,000 ล้านบาท
ในส่วนของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน กระทรวงพลังงานได้เดินหน้าโครงการสำคัญเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่และเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น โครงการ Direct PPA (สัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดโดยตรง) ขนาด 2,000 เมกะวัตต์ ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 65,000 ล้านบาท ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 1.6 ล้านตันต่อปี และสร้างงานกว่า 3,000 ตำแหน่ง
อีกทั้งยังมีการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าในเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) มูลค่าการลงทุนกว่า 1,380 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ Data Center ซึ่งคาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะสูงถึง 3,800 เมกะวัตต์ภายในปี 2580 พร้อมทั้งส่งเสริมมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม มูลค่าการลงทุนกว่า 800 ล้านบาท เพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
กระทรวงพลังงาน ยังได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับเป้าหมาย “Net Zero 2050” อย่างยั่งยืน โดยอยู่ระหว่างการทบทวนแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายใหม่ผ่านการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากภาคประชาชน และการนำเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) มาใช้ในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโครงการนำร่องในอ่าวไทยตอนบน ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 540,000 ล้านบาท สามารถลดการปล่อยคาร์บอนกว่า 6.4 ล้านตันต่อปี และสร้างงานกว่า 11,000 ตำแหน่ง
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS