{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าค่าเงินบาทเปิดเช้า 31 กรกฎาคม 2568 ที่ระดับ 32.73 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.49 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ เข้าใกล้โซนแนวต้านถัดไปในช่วง 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.47-32.75 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) จนหลุดโซนแนวรับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่างออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ที่เพิ่มขึ้น ราว 1.04 แสนราย ดีกว่าที่ตลาดประเมินไว้ 7.7 หมื่นราย ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ ผลการประชุม FOMC ของเฟด ล่าสุด ที่แม้ว่า เฟดจะมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 9-2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% ทว่า ประธานเฟด Jerome Powell ยังคงย้ำจุดยืน ไม่เร่งรีบปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรอประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ให้รอบด้าน และไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเฟดพร้อมจะกลับมาลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ตามที่ตลาดคาดหวัง ทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุด โอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ ลดลง เหลือเพียง 39% ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อีกทั้งราคาทองคำก็รีบาวด์ขึ้นบ้างจากหลังปรับตัวลดลงหลุดโซนแนวรับระยะสั้น
บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว แม้จะได้แรงหนุนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันจากแนวโน้มเฟดยังคงไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.12% อย่างที่ตลาดคาดหวัง ทั้งนี้ รายงานผลประกอบการของหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Meta และ Microsoft ที่ออกมาดีกว่าคาด ก็พอช่วยหนุนให้บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มดีขึ้น สะท้อนจากการปรับตัวขึ้นของสัญญาฟิวเจอร์สตลาดหุ้นสหรัฐฯ ราว +0.8%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.02% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ทั้งนี้ บรรยากาศตลาดหุ้นยุโรปยังคงเผชิญแรงกดดันบ้าง จากความกังวลผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังสหภาพยุโรปได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ล่าสุด
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.36% สอดคล้องกับการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด และท่าทีของเฟดที่ย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หลังตลาดรับรู้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ซึ่งเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.40%-4.50% สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ (สามารถเน้นทยอยซื้อ Buy on Dip ได้)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ตามท่าทีของเฟดที่ย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต่างออกมาดีกว่าคาด ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนได้ใช้จังหวะเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ในการขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมาบ้าง ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้น สู่ระดับ 99.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.8-99.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลงกว่า -1.4% สู่โซน 3,330-3,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเราประเมินว่า BOJ อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% เพื่อรอประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า BOJ อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 25bps ได้ในการประชุม BOJ เดือนธันวาคม หากเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงขยายตัวได้ดี ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็ยังคงมีแนวโน้มอยู่ที่ระดับเป้าหมาย 2.0% ได้ในระยะกลาง-ยาว นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายน (รับรู้ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้) ส่วนในฝั่งจีน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ในเดือนกรกฎาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ในเดือนมิถุนายน พร้อมทั้งรอประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานทั้ง Challenger Job Cuts ในเดือนกรกฎาคม และ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Apple และ Amazon พร้อมรอติดตามแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามั่นใจมากขึ้น ว่าเงินบาทยังมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงต่อได้ หลังเงินบาทได้อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following) อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ หลังผู้เล่นในตลาดได้ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ของเฟด ในปีนี้ ลงมาพอสมควรแล้ว โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ เพียง 39% ทำให้ เรามองว่า หากเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม อาจจะต้องเห็น การปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จนเหลือ 1 ครั้ง หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ซึ่งต้องอาศัยทั้ง การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ควรจะมาพร้อมกับการปรับตัวลดลงหนักของราคาทองคำ โดยภาพดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ยังคงออกมาสดใส โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์ นี้
จากภาพดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังไปพอสมควร ว่า รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ควรสะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่สดใสอยู่ ทำให้ หากตลาดผิดหวังกับรายงานข้อมูลดังกล่าว ก็อาจทำให้เกิดการ Repricing หรือปรับมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดใหม่อีกครั้ง กดดันให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลดลง ทำให้เงินบาทยังคงมีความเสี่ยง Two-Way risk หรือพร้อมจะเคลื่อนไหวได้สองทิศทางอยู่
ทั้งนี้ หากบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) หนุนโดยผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ ที่ทยอยออกมาดีกว่าคาด เรามองว่า เงินบาทก็อาจขาดแรงหนุนฝั่งแข็งค่าไปบ้าง ตราบใดที่ราคาทองคำเผชิญแรงกดดันจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงดังกล่าว ขณะเดียวกัน เรามองว่า ภายใต้ภาวะดังกล่าว หากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นด้วย การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ ในกรณีที่ ผู้เล่นในตลาดไม่ได้เชื่อว่า เงินดอลลาร์จะกลับมาเป็นแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เหมือนในช่วงก่อนหน้า และเลือกที่จะเพิ่มอัตราการป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลง (เพิ่ม Hedging ratio)
นอกจากนี้ เรามองว่า ยังคงต้องรอลุ้นผลการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ ซึ่งหากสุดท้ายสินค้าส่งออกของไทยเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 36% เราประเมินว่า เงินบาทก็เสี่ยงอ่อนค่าลงอีกได้ราว 1.2% อ้างอิงจากการเคลื่อนไหวในช่วงหลัง Liberation Day
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.85 บาท/ดอลลาร์
พูน พานิชพิบูลย์
นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน
Krungthai GLOBAL MARKETS
ธนาคารกรุงไทย
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS