“เอกา โกลบอล” ประเมินธุรกิจบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารรับมือ “ทรัมป์” สบจังหวะโอกาสผู้ประกอบการขยายตลาดใหม่กับกลุ่มประเทศคู่ค้า BIMSTEC

“เอกา โกลบอล” ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์แห่งอนาคตช่วยยืดอายุอาหาร จับตามองผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีตอบโต้รายประเทศของ “ทรัมป์” กดภาคการส่งออกอาหารและอาหารสัตว์เลี้ยงไทย เร่งเตรียมความพร้อมรับมือ – ลดความเสี่ยง แม้ลูกค้ายังไม่ส่งสัญญาณลดคำสั่งซื้อ มั่นใจนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ช่วยยืดอายุอาหารได้เปรียบตลาดและมีดีมานด์สูง แนะผู้ประกอบการส่งออกอาหารมองโอกาสในตลาดใหม่ๆ ที่มีอัตราการเติบโตสูง เช่น อินเดีย และประเทศคู่ค้าในกลุ่ม BIMSTEC

นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) แบรนด์คนไทยเบอร์ใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก เปิดเผยว่า ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดสำหรับแนวทางการรับมือของภาครัฐและผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 โดยไทยเองถูกตั้งอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ สูงถึง 36% และแม้ว่าทรัมป์มีประกาศเลื่อนผลบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ออกไปอีก 90 วัน เพื่อให้แต่ละประเทศมีโอกาสเจรจา แต่ยังคงอัตราภาษีนำเข้าขั้นต่ำทุกประเทศไว้ที่ 10% มองว่ามาตรการภาษีตอบโต้รายประเทศของทรัมป์ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญที่สร้างความไม่แน่นอนกดดันการค้าระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจโลก

ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ประเมินผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกของไทย คาดจะลดลงประมาณ 1 – 1.5 แสนล้านบาท มีผลกระทบต่อการจีดีพีไทยราว 0.7 – 0.9% ซึ่งตัวเลขนี้เป็นเพียงประมาณการณ์ความเสียหายเบื้องต้นเท่านั้น โดยสถานการณ์การค้าโลกที่ชะลอตัวและมีความไม่แน่นอนสูงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก โดยเฉพาะภาคการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา และมีผลกระทบทางอ้อมจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ที่ชะลอตัว หรือ แม้แต่ความเสี่ยงด้านการแข่งขันทางการค้าในอนาคตที่รุนแรงขึ้น ฯลฯ

“อุตสาหกรรมอาหารไทยน่าจะได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะอาหารแปรรูป ซึ่งเดิมมีอัตราภาษี 0% การปรับขึ้นภาษีจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยลดลง เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีมูลค่าสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ในปี 2567 สูงเป็นอันดับต้น ๆ จะได้ผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยนั้นมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก เชื่อว่าเรายังมีโอกาสของการส่งออกไปยังประเทศอื่นๆได้”

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ฝ่ายกลยุทธ์ของบริษัทฯ ยังคงติดตามสถานการณ์และเตรียมแผนงานรับมือเพื่อลดความเสี่ยง แม้ว่าขณะนี้ ยังคงไม่เห็นสัญญาณการปรับลดคำสั่งซื้อลดลงจากทั้งสองกลุ่มลูกค้าหลัก ทั้งกลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) และอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม (Pet-Food) ขณะที่ตลาดอินเดีย ซึ่งบริษัทฯ ได้เข้าไปตั้งโรงงานแห่งใหม่ที่เมืองปูเน่ จะเน้นรับรองตลาดในประเทศอินเดียเป็นหลักก็ตาม

“ตลาดอินเดียเป็นตลาดใหญ่จากจำนวนประชากรที่มีกว่า 1.4 พันล้านคน แม้จะมีความแตกต่างเรื่องวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาค แต่ประชากรในวัยหนุ่มสาวและคนทำงานส่วนใหญ่มีการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไป มีความรู้ความเข้าใจในการบริโภคเทรนด์ใหม่ๆ ทำให้ความต้องการในตลาดอาหารแบบ Ready to Eat เพิ่มมากขึ้น หากผู้ประกอบการไทย ศึกษาความต้องการของตลาดและลูกค้าให้ดีเชื่อว่ามีโอกาสในตลาดอินเดียและภูมิภาคนี้อยู่มาก โดยเฉพาะประเทศไทยอยู่ในกลุ่มคู่ค้า BIMSTEC ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอล ซึ่งมีประเทศในกลุ่ม 7 ประเทศ บังกลาเทศ อินเดีย ศรีลังกา และไทย เนปาลและละภูฏาน อาจจะเป็นโอกาสในการส่งออกและทำการค้าขายกับประเทศเหล่านี้ได้เพิ่มมากขึ้น”

ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่า บรรจุภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมช่วยยืดอายุอาหาร ยังคงมีข้อได้เปรียบและมีความต้องการใช้ทั่วโลกสูง เพราะเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนยุคใหม่มากที่สุด และคนทั่วโลกต่างมองหานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัยต่ออาหาร สะดวกใช้ และช่วยให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น ซึ่งบรรจุภัณฑ์ของบริษัทฯ ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิต สามารถรักษาอายุของอาหารได้นานสุดกว่า 2 ปี ไม่มีสารปนเปื้อนไม่มีสารก่อมะเร็ง มีความปลอดภัย น้ำหนักเบา ง่ายต่อการขนส่ง มีดีไซน์ทันสมัย และสามารถเข้าไมโครเวฟได้ อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment