{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
สนพ. คาดการณ์ ความต้องการใช้พลังงาน ปี 2568 เพิ่มขึ้น 2.9%จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวแห่เดินทางเข้าประเทศ
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่าสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้จัดทำสถานการณ์พลังงาน ปี 2567 โดยการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 เทียบกับปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่รายงานว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2567 ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.5 โดยมีปัจจัยหลักจากการบริโภคของภาคเอกชนและการอุปโภคของรัฐบาลที่ขยายตัว การลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวร้อยละ 4.8 ซึ่งแม้ว่าการลงทุนภาคเอกชนจะลดลงร้อยละ 1.6 แต่เศรษฐกิจไทยยังได้รับอานิสงค์จากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวน 35.55 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5.4 ล้านคน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อสถานการณ์พลังงานของประเทศไทยในปี 2567 โดยมี การใช้พลังงานขั้นต้น อยู่ที่ 2,046 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 โดยเพิ่มขึ้นเกือบทุกชนิดเชื้อเพลิง ในส่วนของการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 การใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 จากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น การใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 และการใช้ไฟฟ้าพลังน้ำ/ไฟฟ้านำเข้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 จากไฟฟ้านำเข้าที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่การใช้ลิกไนต์ลดลงร้อยละ 1.0 จากการใช้ในการผลิตไฟฟ้าที่ลดลง โดยการใช้พลังงานขั้นต้นของเชื้อเพลิงแต่ละประเภท เป็นดังนี้
น้ำมันสำเร็จรูป มีปริมาณการใช้อยู่ที่ระดับ 140.6 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 โดยปริมาณการใช้น้ำมันดีเซล อยู่ที่ 68.8 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.05 จากฐานการใช้ที่สูงกว่าปกติในปีก่อน เนื่องจากมีนโยบายให้ใช้น้ำมันดีเซลในโรงไฟฟ้าทดแทนก๊าซธรรมชาติในช่วงต้นปี 2566 ที่ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มีราคาสูง ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล อยู่ที่ 31.4 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.3 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของโครงข่ายรถไฟฟ้าและการเพิ่มขึ้นของยานยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV การใช้น้ำมันเครื่องบิน อยู่ที่ 16.2 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7 เนื่องจากความต้องการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเพิ่มสูงขึ้น สำหรับการใช้น้ำมันเตา อยู่ที่ 5.1 ล้านลิตรต่อวัน ปรับตัวลดลงร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
LPG โพรเพน และบิวเทน มีปริมาณการใช้อยู่ที่ระดับ 6,777 พันตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้จำแนกเป็นการใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งมีสัดส่วนการใช้สูงสุดคิดเป็นร้อยละ 44 มีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 การใช้ภาคครัวเรือน มีสัดส่วนร้อยละ 31 มีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ขณะที่การใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ สัดส่วนร้อยละ 14 การใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม มีสัดส่วนร้อยละ 10 มีการใช้ลดลงร้อยละ 6.0 สอดคล้องกับอัตราการใช้กำลังผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง
ก๊าซธรรมชาติ มีปริมาณการใช้อยู่ที่ระดับ 4,496 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 โดยมาจากการใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 ตามความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้น จากการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 ในขณะที่การใช้ในภาคอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 12.7 ตามการผลิตสินค้าในภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลง และการใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ (NGV) ลดลงร้อยละ 16.3
ถ่านหิน/ลิกไนต์ มีการใช้รวมทั้งสิ้นอยู่ที่ระดับ 14,672 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 โดยการใช้ ถ่านหินนำเข้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 จากการใช้ที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้า IPP ที่ร้อยละ 37.1 ขณะที่การใช้ในโรงไฟฟ้า SPP ลดลงร้อยละ 38.2 และการใช้ในภาคอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 0.4 สำหรับการใช้ ลิกไนต์ ลดลงร้อยละ 0.8 โดยการใช้ลิกไนต์ทั้งหมดในปี 2567 เป็นการใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าของ กฟผ.
ไฟฟ้า
ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในระบบ 3 การไฟฟ้า (System Peak) (ไม่รวมผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เอง หรือ IPS) ของปี 2567 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 เวลา 22.24 น. อยู่ที่ระดับ 36,792 MW เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 เมื่อเทียบกับความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในระบบ 3 การไฟฟ้าของปีก่อน
การผลิตไฟฟ้า (ไม่รวมผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เอง หรือ IPS) อยู่ที่ 235,500 กิกะวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 โดยการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติมีสัดส่วนสูงสุด ร้อยละ 58 มีปริมาณการผลิตอยู่ที่ 136,373 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 สำหรับไฟฟ้านำเข้า/แลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7 ส่วนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้า/ลิกไนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำและน้ำมันลดลงร้อยละ 2.6 และ 68.9 ตามลำดับ
การใช้ไฟฟ้า (ไม่รวมผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เอง หรือ IPS) อยู่ที่ 214,469 ล้านหน่วย (GWh) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 มีผลมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสภาพอากาศที่ร้อน ส่งผลให้การใช้ไฟฟ้าในภาคธุรกิจ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 ภาคครัวเรือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 การใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3
นายวัฒนพงษ์ฯ เปิดเผยต่อด้วยว่า สนพ. ได้จัดทำแนวโน้มความต้องการใช้พลังงานของประเทศปี 2568 โดยใช้สมมติฐานการประมาณการจากข้อมูลแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ (GDP) ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.3 -3.3 ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญจากการขยายตัวของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริการที่เกี่ยวเนื่อง และการขยายตัวต่อเนื่องของการส่งออก สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2568 คาดว่าอยู่ที่ 75.0 – 85.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
โดย สนพ. คาดการณ์ว่า ภาพรวมความต้องการใช้พลังงานขั้นต้นของปี 2568 อยู่ที่ระดับ 2,105 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี2567 จากสภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ โดย สนพ. คาดการณ์การความต้องการใช้พลังงานขั้นต้นรายสาขาดังนี้ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 และ 2.8 ตามลำดับ โดยในส่วนของน้ำมันเป็นการเพิ่มขึ้นจากการใช้น้ำมันทุกประเภท โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของน้ำมันเครื่องบิน เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวทั่วโลก รวมถึงการมีมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติของภาครัฐ และ มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การใช้น้ำมันชนิดอื่นในภาคขนส่งขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย ขณะที่ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เป็นการเพิ่มจากการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าและการใช้ในภาคอุตสาหกรรม ถ่านหิน คาดว่าจะเพิ่มร้อยละ 2.5 จากการใช้ถ่านหินนำเข้าที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการใช้ในภาคอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีการใช้เพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนลิกไนต์ การใช้ไฟฟ้าพลังน้ำ/ไฟฟ้านำเข้า คาดว่าจะลดลงร้อยละ 2.1 จากความต้องการนำไฟฟ้าเข้าจาก สปป.ลาว ที่คาดว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับฐานที่สูงของปี 2567 ขณะที่ไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 4.1 สอดคล้องกับปริมาณน้ำฝนของปี 2567 ที่สูงกว่าค่าปกติซึ่งส่งผลให้มีปริมาณน้ำสะสมในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่สูงกว่าปี 2567
นายวัฒนพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของ น้ำมันสำเร็จรูป ปี 2568 คาดว่าจะมีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 จากการเพิ่มขึ้นของการใช้น้ำมันเครื่องบิน ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1 จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลให้การใช้น้ำมันสำเร็จรูปประเภทอื่นขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่น การใช้น้ำมันเบนซินและ LPG อย่างไรก็ตาม ในส่วนของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล คาดว่าจะมีการใช้เพิ่มขึ้นไม่มากนักโดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เนื่องจากแนวโน้มการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริด การใช้น้ำมันดีเซลคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 สอดคล้องกับการขยายตัวของการส่งออกสินค้าและแนวโน้มผลผลิตสินค้าเกษตรที่คาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น การใช้ LPG ในส่วนที่ไม่รวมการใช้เป็น Feed stocks ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ในขณะที่การใช้น้ำมันเตาคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับฐานที่ต่ำของปี 2567 (ปี 2567 ลดลงร้อยละ -6.5) สอดคล้องกับการขยายตัวของการส่งออกสินค้า ส่วนคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในปี 2568 คาดว่าจะมีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 สอดรับกับการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวจะอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยปี 2568 จะต่ำกว่าที่ปีที่ผ่านมา นายวัฒนพงษ์ฯ กล่าวทิ้งท้าย
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS