ค่าเงินบาทเปิดเช้า 19 มีนาคม 2568 ที่ระดับ 33.64 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้า 19 มีนาคม 2568 ที่ระดับ 33.64 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.58 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 33.56-33.65 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ ออกมาดีกว่าคาด อาทิ ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนกุมภาพันธ์ ที่โต +0.7% จากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ก็แข็งค่าได้ไม่นาน หลังสภา Bundestag ของเยอรมนี ได้อนุมัติการปฏิรูปกฎเกณฑ์การกู้เงิน (Debt Brake) ของรัฐบาล ตามที่ตลาดคาดหวัง หนุนให้เงินยูโร (EUR) แข็งค่าขึ้นบ้างเข้าใกล้ระดับ 1.095 ดอลลาร์ต่อยูโร ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่แถวโซน 3,030 ดอลลาร์ต่อออนซ์

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างระมัดระวังตัวมากขึ้น และเลือกที่จะทยอยขายหุ้นออกมาบ้าง ก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟดในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Tesla -5.3% หลังนักวิเคราะห์ต่างปรับลดคำแนะนำการลงทุนและปรับลดเป้าหมายราคาลง ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -1.71% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.07%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.61% หลังสภา Bundestag ของเยอรมนี ได้อนมุติการปฏิรูปกฎเกณฑ์การกู้เงินของรัฐบาลตามที่ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวัง นอกจากนี้ บรรยากาศในตลาดการเงินยุโรปยังได้แรงหนุนจากความหวังว่า การเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนมีแนวโน้มดำเนินต่อไปได้และนำไปสู่การยุติสงครามได้ในที่สุด หลังผู้นำสหรัฐฯ และผู้นำรัสเซียได้มีการสนทนาทางโทรศัพท์ในช่วงคืนที่ผ่านมา

ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมจะออกมาดีกว่าคาด อีกทั้งบรรดาผู้เล่นในตลาดก็ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด (ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมอง เฟดมีโอกาส 35% ที่จะลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้ง ในปีนี้) แต่บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้างและแกว่งตัวแถวโซน 4.29%

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ Sideways โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ทว่า เงินดอลลาร์ก็อ่อนค่าลงบ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) รับข่าว สภา Bundestag ของเยอรมนี อนุมัติการปฏิรูปกฎเกณฑ์การกู้เงินของรัฐบาล ตามที่ตลาดคาดหวัง ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ยังคงแกว่งตัวแถวระดับ 103.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.2-103.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ บรรยากาศปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ของตลาดการเงินสหรัฐฯ กอปรกับจังหวะปรับตัวลงบ้างของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) สามารถทยอยปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ได้ ทว่า แรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด ยังคงจำกัดการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำไว้แถวโซน 3,030-3,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) โดยในส่วนของ BOJ เราคาดว่า BOJ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% เพื่อรอติดตามแนวโน้มของการต่อรองค่าจ้างและผลกระทบของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่น ทว่า BOJ อาจย้ำจุดยืน พร้อมทยอยเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยตามความเหมาะสมของสภาวะเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับเป้าหมายของ BOJ ส่วนทาง BI นั้น แม้ว่าบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า BI อาจคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.75% ทว่า มีโอกาสที่ BI อาจเซอร์ไพรส์ตลาดด้วยการลดดอกเบี้ย 25bps หลังภาพรวมเศรษฐกิจอินโดนีเซียส่งสัญญาณชะลอตัวลงมากขึ้น ขณะที่ความกังวลต่อเสถียรภาพของค่าเงินอินโดนีเซียรูเปียะห์ (IDR) อาจลดลงไปบ้าง หลังเงินดอลลาร์ได้ทยอยอ่อนค่าลง

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงิน ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า ECB อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้อีกราว 2 ครั้ง หรือ 50bps ในปีนี้

และในฝั่งสหรัฐฯ ไฮไลท์สำคัญที่ควรติดตามอย่างยิ่งจะอยู่ที่ ผลการประชุม FOMC ของเฟด ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วง 01.00 น. ตามเวลาประเทศไทยของเช้าวันพฤหัสฯ โดยเราประเมินว่า เฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% เพื่อรอประเมินผลกระทบจากการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0 ให้แน่ชัด โดยเฉพาะในส่วนของนโยบายกีดกันทางการค้าที่มีความไม่แน่นอนอยู่สูง ทั้งนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานคาดการณ์เศรษฐกิจ (Summary of Economic Projections) และคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ใหม่ โดยเราประเมินว่า เฟดอาจคงคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจส่วนใหญ่ แต่อาจปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ PCE ในปีนี้ ได้บ้าง ขณะที่ Dot Plot ใหม่อาจยังคงไม่ต่างจากการประชุมเดือนธันวาคมปีก่อน ที่สะท้อนว่า เฟดจะทยอยลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาจลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่ออีก 2 ครั้ง ในปีหน้า ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะยาว (Longer run) อาจสูงกว่าระดับ 3.00% เล็กน้อย

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด ทว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BOJ และ BI โดยในส่วนของผลการประชุม BOJ นั้น หาก BOJ ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม อย่างที่ผู้เล่นในตลาดคาดหวังว่า BOJ มีโอกาสราว 30% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ ก็อาจกดดันให้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวต้าน 150 เยนต่อดอลลาร์ (หรืออ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าว) ได้ไม่ยาก ส่วนในฝั่งของการประชุม BI นั้น ในเชิงสถิติรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา เราพบว่า เงินบาท (USDTHB) อาจผันผวน +0.16%/-0.11% ในช่วง 30 นาที หลังตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BI ได้ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ ก็มีโอกาสที่ BI อาจลดดอกเบี้ยเซอร์ไพรส์ตลาด ส่งผลให้เงินอินโดนีเซียรูเปียะห์ (IDR) อาจอ่อนค่าลงบ้าง จนส่งผลกระทบต่อสกุลเงินฝั่งเอเชีย อย่างเงินบาทได้ ตามข้อมูลสถิติในอดีต

ส่วนในช่วงราว 01.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ของเช้าวันพฤหัสฯ เราขอเน้นย้ำว่าควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด โดยสถิติในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา ชี้ว่า เงินบาท (USDTHB) อาจแกว่งตัว +/-0.30% ในช่วง 30 นาที หลังทยอยรับรู้ผลการประชุมเฟดได้ โดยเรามองว่า ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม คือ คาดการณ์เศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยนโยบายใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้บรรดาผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้พอสมควร จากล่าสุดที่ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 35% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ และอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีหน้า

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.80 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด)

พูน พานิชพิบูลย์

นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน

Krungthai GLOBAL MARKETS

ธนาคารกรุงไทย


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment