ค่าเงินบาทเปิดเช้า17 มีนาคม 2568 ที่ระดับ 33.67 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง เล็กน้อยแทบไม่เปลี่ยนแปลง”

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้า17 มีนาคม 2568 ที่ระดับ 33.67 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง เล็กน้อยแทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 33.64 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.59-33.70 บาทต่อดอลลาร์) โดยในช่วงแรก แม้ว่าเงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า จากการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (New All-Time High) ของราคาทองคำ แต่ทว่า เงินบาทก็พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลงบ้าง หลังราคาทองคำเผชิญแรงขายจากบรรดาผู้เล่นในตลาด ส่วนเงินดอลลาร์ก็ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นบ้าง กดดันสกุลเงินหลัก อย่าง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดก็ยังไม่รีบปรับเปลี่ยนสถานะถือครองเงินดอลลาร์เพิ่มเติม เพื่อรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟดในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น ตามอานิสงส์ของการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของราคาทองคำ ส่วนเงินดอลลาร์ย่อตัวลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยลดความเชื่อมั่นธีม US Exceptionalism

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด BOE และ BOJ พร้อมทั้งรอติดตามแนวโน้มการเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน และประเด็นการเมืองเยอรมนี

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุม FOMC ของเฟด โดยเราประเมินว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.25-4.50% เพื่อรอประเมินผลกระทบจากการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0 ให้แน่ชัด โดยเฉพาะในส่วนของนโยบายกีดกันทางการค้าที่มีความไม่แน่นอนอยู่สูง ทั้งนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานคาดการณ์เศรษฐกิจ (Summary of Economic Projections) และคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ใหม่ โดยเราประเมินว่า เฟดอาจคงคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจส่วนใหญ่ แต่อาจปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ PCE ในปีนี้ ได้บ้าง ขณะที่ Dot Plot ใหม่อาจยังคงไม่ต่างจากการประชุมเดือนธันวาคมปีก่อน ที่สะท้อนว่า เฟดจะทยอยลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาจลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่ออีก 2 ครั้ง ในปีหน้า ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะยาว (Longer run) อาจสูงกว่าระดับ 3.00% เล็กน้อย นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมทั้งรอติดตามพัฒนาการของการเจรจาเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ฝั่งยุโรป – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เราประเมินว่า อัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและอาจสร้างความเสี่ยงด้านสูงต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ อาจทำให้ BOE เลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.50% ไปก่อน ทว่า BOE ก็อาจทยอยลดดอกเบี้ยลงได้บ้าง หากมั่นใจแนวโน้มการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์การกู้เงินของรัฐบาลเยอรมนี ว่าจะสามารถได้รับเสียงสนับสนุนได้อย่างที่ตลาดคาดหวังหรือไม่

ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเราประเมินว่า BOJ อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% ในการประชุมครั้งนี้ เพื่อรอติดตามผลการเจรจาต่อรองค่าจ้าง รวมถึงประเมินผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ให้ครบถ้วนเสียก่อน อีกทั้ง การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ในช่วงที่ผ่านมาก็อาจทำให้ BOJ ยังไม่เร่งรีบที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เช่นเดียวกันกับธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) และธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) ที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.75% และ 2.00% ตามลำดับ นอกเหนือจากผลการประชุมธนาคารกลางดังกล่าว บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) รวมถึงยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน พร้อมทั้งรอติดตามภาวะตลาดอสังหาฯ ของจีน ผ่านรายงานราคาบ้านมือหนึ่งและมือสอง (Home Prices) อีกด้วย

ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) เดือนกุมภาพันธ์ โดยยอดการส่งออกอาจขยายตัวต่อเนื่อง หนุนโดยการเร่งนำเข้าของบรรดาประเทศคู่ค้า เพื่อรับมือความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ สำหรับ แนวโน้มเงินบาท นั้น หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทยังอยู่ในแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น หรือ แกว่งตัว Sideways จนกว่าจะสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนของเงินบาทที่อาจสูงกว่าปกติ โดยเฉพาะในสัปดาห์แห่งการประชุมของบรรดาธนาคารกลางหลัก ทั้งนี้ เงินบาทยังมีโซนแนวต้านสำคัญแถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์) ขณะที่โซนแนวรับสำคัญจะอยู่ในช่วง 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 33.30 บาทต่อดอลลาร์)

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways แต่เสี่ยงผันผวนสูง ท่ามกลางการประชุมธนาคารกลางหลัก อีกทั้งราคาทองคำก็เริ่มเคลื่อนไหวผันผวนมากขึ้นและอาจอยู่ในช่วงพักฐาน (ในแนวโน้มขาขึ้น) ส่วนฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ หากบรรยากาศในตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น อาจได้ลุ้นเห็นแรงซื้อหุ้นไทยกลับมา นอกจากนี้ ควรจับตาทิศทางเงินหยวนจีน (CNY) ที่อาจอ่อนไหวไปตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุน จากความกังวลแนวโน้มนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงแนวโน้มเฟดไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ทว่า ความเชื่อมั่นในธีม US Exceptionalism ที่ลดลง จะยังคงกดดันเงินดอลลาร์อยู่

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.35-34.10 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.80 บาท/ดอลลาร์

พูน พานิชพิบูลย์

นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน

Krungthai GLOBAL MARKETS

ธนาคารกรุงไทย


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment