{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังประกาศนโยบาย Zero Tolerance : สินค้าหลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิตต้องเป็นศูนย์ ย้ำทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าจับกุมและปราบปรามอย่างจริงจัง ไม่มีข้อยกเว้น
ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าตรวจเยี่ยมกรมสรรพสามิต ณ อาคารหอประชุมกรมสรรพสามิต โดยมี ดร.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต คณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต ให้การต้อนรับ
ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การเข้าตรวจเยี่ยมกรมสรรพสามิต โดยในด้านการจัดเก็บภาษีขอให้มุ่งเน้นต่อยอดนโยบายที่ส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทย ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้ประกอบการรถยนต์ประเภท Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) รวมทั้ง ผู้ประกอบการน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันเพื่อศึกษาเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF : Sustainable Aviation Fuel) โดยจะนำข้อมูลที่ได้รับมาพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินนโยบายของกระทรวงการคลังที่พร้อมให้การสนับสนุนส่งเสริมด้านความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อไป
สำหรับด้านการปราบปรามผู้กระทำผิดตามกฎหมายสรรพสามิต ได้กำชับให้กรมสรรพสามิตดำเนินงานตามนโยบาย “Zero Tolerance : สินค้าหลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิตต้องเป็นศูนย์” โดยให้กรมสรรพสามิตเดินหน้าจับกุมและปราบปรามอย่างจริงจัง มุ่งเน้นการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายที่ลักลอบนำเข้ามาโดยไม่ได้ เสียภาษี โดยเฉพาะตามเส้นทางบริเวณชายแดนที่นำเข้ามาจำหน่ายในพื้นที่ต่าง ๆ หรือการขายสินค้าที่ไม่ได้เสียภาษีบนเครือข่ายออนไลน์ที่พบเห็นมากขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบนำเข้าสินค้าสรรพสามิตและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามนโยบายรัฐบาล จึงกำหนดแนวทางยกระดับการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประกอบด้วย
1) การเน้นการขยายผลการจับกุมรายเล็กไปจนถึงรายใหญ่ เพื่อขจัดต้นตอการผลิตหรือลักลอบนำเข้าสินค้าสรรพสามิต โดยเฉพาะสินค้าสุราและยาสูบ โดยขอให้บูรณาการกับหน่วยงานภายนอกเพื่อตรวจสอบเส้นทางการขนส่งตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวด
2) เพิ่มศักยภาพด้วยการใช้เทคโนโลยีเคลื่อนที่ในการช่วยตรวจสอบสินค้า และบูรณาการความร่วมมือ MOU กับบริษัทขนส่งทุกบริษัท ในการตรวจสอบเส้นทางการขนส่งสินค้า และให้มีการขยายผลหาผู้กระทำความผิดเพื่อตัดวงจรการขนส่งสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต
3) สร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชน เน้นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปแจ้งเบาะแสผ่านช่องทางระบบร้องเรียน หรือสายด่วน 1713 โดยผู้ร้องเรียนมีสิทธิขอรับเงินสินบนรางวัลได้เมื่อคดีสิ้นสุดลง
ดร. กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมสรรพสามิตพร้อมขับเคลื่อนนโยบายด้านการจัดเก็บภาษีและการปราบปรามดังกล่าว ให้ความสำคัญในการดำเนินมาตรการภาษีสรรพสามิตเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และดูแลพี่น้องประชาชน มุ่งเน้นในการดำเนินนโยบายด้าน ESG อย่างต่อเนื่อง และนำกลยุทธ์ SMART Excise มาใช้เพื่อยกระดับการทำงานทั้งระบบ โดยในด้านการส่งเสริมความยั่งยืน กรมสรรพสามิตได้มีการศึกษาและพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างภาษีสินค้าในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บในปัจจุบันและขยายฐานภาษีไปยังสินค้าประเภทใหม่ รวมทั้งพิจารณาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่อุตสาหกรรมตามที่รัฐบาลต้องการส่งเสริมด้วย
ในด้านการยกระดับการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยเฉพาะสินค้าสุราและบุหรี่เถื่อน ได้สั่งการให้สำนักงานสรรพสามิตภาค สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ และสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม ดำเนินการปราบปรามการกระทำผิดอย่างเข้มงวดและจริงจัง ให้ครอบคลุมทุกมิติ ดังนี้
1. ด้านการลักลอบนำเข้าสินค้าที่มิได้เสียภาษีสรรพสามิต กรมสรรพสามิตจะจัดกำลังเจ้าหน้าที่ ชุดสายตรวจตั้งจุดตรวจร่วมกับหน่วยงานที่ได้มีการบูรณาการความร่วมมือไว้ เพื่อตรวจสอบและเฝ้าระวังเส้นทาง การขนส่งตามแนวชายแดนทั้งทางบกและทางทะเล ที่เป็นจุดเสี่ยงที่อาจเกิดการลักลอบนำเข้าอย่างเข้มงวด
2. ด้านการลักลอบขนส่งสินค้าที่มิได้เสียภาษีสรรพสามิตผ่านบริการขนส่งพัสดุ กรมสรรพสามิต จะพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานของศูนย์ปราบปรามสินค้าออนไลน์ และยกระดับความร่วมมือไปยังสำนักงานสรรพสามิตภาคทั่วประเทศ เพื่อให้ช่วยในการตรวจสอบการขายสินค้าผิดกฎหมายผ่านทางออนไลน์ และเร่งทำความตกลงบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานขนส่งทุกบริษัท เพื่อให้มีข้อมูลเพิ่มขึ้นในการใช้ในการวิเคราะห์ คัดกรอง และจัดทำ Big Data เพื่อใช้ในการสืบค้นข้อมูลและขยายผลหาผู้กระทำความผิด เพื่อตัดวงจรการขนส่งสินค้า ผิดกฎหมายสรรพสามิตต่อไป
3. ด้านการลักลอบขายสินค้าที่มิได้เสียภาษีสรรพสามิต กรมสรรพสามิตบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานปกครองในทุกพื้นที่ เพื่อตรวจสอบการเสียภาษีสรรพสามิตและตรวจสอบใบอนุญาตขายสุราและใบอนุญาตขายยาสูบของกรมสรรพสามิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้านการจัดเก็บภาษี รวมถึงป้องกันและปราบปรามการกระทำผิด อีกทั้ง ได้จัดกำลังชุดเจ้าหน้าที่สายตรวจเข้าตรวจสอบร้านค้าและเฝ้าระวังไม่ให้เกิด การลักลอบขายสินค้าที่ไม่ได้เสียภาษีสรรพสามิต
ดร.กุลยาฯ กล่าวอีกว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในช่วง 5 เดือนแรก ผลการปราบปรามของ กรมสรรพสามิตเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 14,851 คดี สูงกว่าปีก่อนร้อยละ 15.54 เงินค่าปรับนำส่งคลังจำนวน 198.11 ล้านบาท ซึ่งกรมสรรพสามิตจะเร่งยกระดับการทำงานเชิงรุกในด้านการปราบปรามทั้งระบบ และศึกษาแนวทางการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปราม รวมถึง บูรณาการหาความร่วมมือ ในการทำงานร่วมกับหน่วยงานภายในและหน่วยงานภายนอกองค์กรเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ หากประชาชนท่านใดที่พบ การกระทำผิดกฎหมาย สามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศหรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS