ค่าเงินบาทเปิดเช้า 6 มีนาคม 2568 ที่ระดับ 33.59 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าค่าเงินบาทเปิดเช้า 6 มีนาคม 2568 ที่ระดับ 33.59 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.68 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 33.57-33.73 บาทต่อดอลลาร์) ตามการทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน โดยยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ในเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้นเพียง 7.7 หมื่นตำแหน่ง น้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก ขณะที่ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ในเดือนกุมภาพันธ์ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.5 จุด (ดัชนี เกิน 50 จุด สะท้อนถึง ภาวะขยายตัว) ดีกว่าที่ตลาดคาด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการทยอยแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก อาทิ เงินยูโร (EUR) ที่ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป ส่วนเงินเปโซของเม็กซิโก (MXN) และเงินแคนาดาดอลลาร์ (CAD) ก็แข็งค่าขึ้น หลังมีรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเลื่อนเวลาการเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าบางรายการ อาทิ สินค้ากลุ่มยานยนต์ จากเม็กซิโกและแคนดา เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลง USMCA

บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลความเสี่ยงสงครามการค้า หลังมีรายงานข่าวว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเลื่อนเวลาการเก็บภาษีนำเข้า สินค้ากลุ่มยานยนต์จากเม็กซิโกและแคนาดา นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้รับอานิสงส์จากการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Microsoft +3.2% และ Tesla +2.6% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.12%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.91% หนุนโดย การปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มการบินและอุตสาหกรรมทหาร ท่ามกลางความหวังว่า รัฐบาลใหม่ของเยอรมนีจะแก้ไขกฎเกณฑ์การกู้เงิน ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มงบประมาณด้านการทหาร เช่นเดียวกับบรรดาประเทศอื่นๆ ในยุโรป โดยเฉพาะสมาชิกกลุ่ม NATO ที่อาจเพิ่มงบประมาณด้านการทหาร อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันบ้าง ตามการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงนี้

ในส่วนตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน รวมถึงรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสเฟดลดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ เหลือ 75% ได้ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นและทรงตัวเหนือระดับ 4.30% ได้ สอดคล้องกับมุมมองของเราว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีโอกาสทยอยปรับตัวขึ้นได้บ้าง และคงแนะนำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยไม่ไล่ราคาซื้อ ในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลง

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ท่ามกลางรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดก็ทยอยคลายกังวลประเด็นสงครามการค้าลงบ้าง หลังมีรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าบางรายการ เช่น กลุ่มยานยนต์ จากเม็กซิโกและแคนาดา นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินยูโร (EUR) ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ส่งผลให้โดยรวมเงินดอลลาร์ทยอยปรับตัวลง สู่โซน 104.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.2-105.2 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) จะเผชิญแรงกดดันบ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง อีกทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ทยอยปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาทองคำก็ยังพอได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาทองคำยังคงสามารถแกว่งตัวแถวโซน 2,920-2,930 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเราประเมินว่า แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ ท่ามกลางความเสี่ยงผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ จะทำให้ ECB เดินหน้าลดดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) เพิ่มเติมอีก 25bps สู่ระดับ 2.50% และมีโอกาสที่ ECB จะส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม สอดคล้องกับมุมมองของเราที่คาดว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยต่อได้จนถึงระดับ 2.00% หรืออาจต่ำกว่า หากจำเป็น

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของเวียดนาม อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดการส่งออก (Exports) รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ CPI เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนาม ที่อาจยังคงสามารถขยายตัวได้ราว +6% ต่อปี

ละในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ หลังยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จากผลกระทบของการปรับลดการจ้างงานของรัฐบาลสหรัฐฯ โดย DOGE นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจยังคงแกว่งตัวในกรอบ Sideways และยังไม่สามารถกลับไปอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ชัดเจน หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลประเด็นสงครามการค้า จากการที่ทางการสหรัฐฯ อาจเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าบางรายงานจากเม็กซิโกและแคนาดา อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทก็เสี่ยงกลับมาอ่อนค่าลงได้ทุกเมื่อ หากตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งในเดือนมีนาคมนี้ ต้องจับตาท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะตัดสินใจเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากยุโรปหรือไม่ เนื่องจากในช่วงนี้ เงินยูโร (EUR) ได้ทยอยแข็งค่าขึ้นพอสมควร ตอบรับความหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่เยอรมนี รวมถึงการปรับสถานะ Short EUR (มองเงินยูโรอ่อนค่าลง) ของผู้เล่นในตลาด ทำให้เงินยูโรก็เสี่ยงกลับมาอ่อนค่าลงได้ หากเผชิญปัจจัยกดดันเพิ่มเติม

ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า แม้เงินบาทเสี่ยงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากประเด็นนโยบายกีดกันทางการค้า แต่การอ่อนค่าของเงินบาทอาจไม่รุนแรงมากนัก ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงปรับตัวขึ้นได้ หรือ อย่างน้อยก็แกว่งตัว Sideways แต่หากมีปัจจัยที่กดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลงหนัก เข้าสู่ช่วงการปรับฐานอีกครั้ง ก็อาจยิ่งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้

อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าลงบ้าง ตามแรงซื้อเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้นำเข้า และโฟลว์ธุรกรรมน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงนี้ ทำให้เงินบาทยังคงมีแนวโน้มแถว 33.50-33.60 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวต้านของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 33.80 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 34.00 บาทต่อดอลลาร์)

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.80 บาท/ดอลลาร์

พูน พานิชพิบูลย์

นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน

Krungthai GLOBAL MARKETS

ธนาคารกรุงไทย


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment