{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
ตลาดหุ้นจีนมีโอกาสปรับฐานในเร็ว ๆ นี้ หลังราคาดีดขึ้นมาแรงและนักลงทุนอาจเปลี่ยนไปจับตานโยบายด้านการคลังที่อาจจะตามมาภายหลัง รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่มองการปรับฐานคือโอกาสลงทุนระยะยาว ส่วนสินทรัพย์อื่นที่น่าสนใจคือราคาน้ำมันดิบจากความตึงเครียดระว่างอิหร่านและอิสราเอล รวมทั้ง ‘บิทคอยน์’ ที่สถิติในอดีตระบุว่าปีที่เกิด Bitcoin Halving ไตรมาสสุดท้ายของปีจะสร้างผลตอบแทนได้ดีเสมอ
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า มองตลาดหุ้นจีนอาจเข้าสู่การปรับฐานในเร็ว ๆ นี้ จากปัจจัยลบที่เข้ามากดดันตลาดตลอดเดือนตุลาคม หลังราคาตลาดหุ้นจีนพุ่งแรงในช่วงสั้นจนสัญญาณทางเทคนิคบอกว่าเข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ทำให้มีโอกาสสูงที่จะมีแรงเทขายในช่วงสั้น
ขณะที่นโยบายด้านการเงินที่รัฐบาลจีนสั่งการลงมาทั้งในด้านของการลดดอกเบี้ยเงินกู้อสังหาริมทรัพย์ การลดเงินสำรองของธนาคาร ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่าเศรษฐกิจจีนจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง แต่อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะทำให้กลับไปอยู่ในระดับเดียวกันกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เมื่อนักลงทุนซึมซับกับนโยบายการเงินไปหมดแล้วอาจมีการเทขายทำกำไรในตลาดหุ้น
นอกจากนี้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะมีผลต่อตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะหากโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี เพราะมีจุดยืนนโยบายต่างประเทศที่กีดกันธุรกิจจากจีนเป็นหลัก
“ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นมาในครั้งนี้อาจจะเป็นการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่หากจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้อย่างเต็มตัวจำเป็นจะต้องมีนโยบายอื่นเข้ามาสนับสนุน โดยสำนักข่าวต่างประเทศเริ่มให้น้ำหนักว่ารัฐบาลจีนอาจจะออกนโยบายทางการคลังเข้ามาเสริม ซึ่งน่าจะเป็นแรงผลักดันที่มากพอทำให้ตลาดหุ้นจีนกลับมามีแนวโน้มขาขึ้นอย่างเต็มตัว”
นายณพวีร์ กล่าวว่า ในเดือนนี้ ผู้ที่ถือหุ้นจีนมาตั้งแต่ต้นทางอาจพิจารณาขายทำกำไรออกไปก่อนบางส่วนเพื่อล็อคกำไร ส่วนผู้ที่ยังไม่มีหุ้นจีนเลยอาจอาศัยจังหวะที่ตลาดปรับฐานทยอยเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานดี เพื่อลงทุนระยะยาวมากกว่าหนึ่งปีขึ้นไปได้ โดยมองว่าตลาดหุ้นจีน หากสามารถกลับมาเป็นขาขึ้นได้อย่างเต็มตัวจะปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่องหลายเดือน
ด้านอุตสาหกรรมที่น่าสนใจในการลงทุน มองกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ถือว่าปรับตัวขึ้นได้แรงที่สุดจากนโยบายของรัฐบาลที่ออกมานั้นส่งผลดีต่อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มากที่สุด อย่างไรก็ตามกลุ่มเทคโนโลยีถือว่าปรับตัวขึ้นมาได้แรง โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนทั้งในจีนและสหรัฐฯ อย่าง Alibaba, Baidu, Pinduoduo ส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ อย่าง Yum China ก็ถือว่าน่าสนใจเช่นกัน
สำหรับสินทรัพย์อื่นให้จับตากรณีอิหร่านและอิสราเอลเกิดความตึงเครียดระหว่างกันอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันกลับมาเป็นขาขึ้นได้อีกครั้ง หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบ Brent ลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และล่าสุดราคาดีดตัวขึ้นมาต่อเนื่อง ถ้าหากสามารถผ่านแนวต้านที่ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ อาจจะกลับขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดเดิมที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้เช่นกัน
ขณะที่ “บิทคอยน์” มีโอกาสจะเป็นขาขึ้นตลอดไตรมาส 4/2567 นี้ จากสถิติในอดีต ปีที่เกิด Bitcoin Halving ราคาบิทคอยน์จะสร้างผลตอบแทนได้อย่างดีตลอดสามเดือนสุดท้ายของปี โดยบิทคอยน์ได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มปรับลดดอกเบี้ยลง และนโยบายการหาเสียงของผู้สมัครท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มุ่งส่งเสริมด้านคริปโต โดยสามารถสะสมได้ที่แนวรับ 60,000 ดอลลาร์ และมีเป้าหมายในช่วงสิ้นปีนี้ที่ระดับ 80,000 ดอลลาร์
ส่วนตลาดหุ้นไทยมีโอกาสสูงที่จะสิ้นสุดแนวโน้มขาลง โดยมีปัจจัยหนุนจากการตั้งกองทุนรวมวายุภักษ์เข้ามาประคองตลาด แต่ยังไม่สามารถคาดหวังการกลับมาเป็นขาขึ้นได้อย่างเต็มตัว โดยยังต้องจับตาการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไป และต้องคัดเลือกหุ้นที่จะเข้าลงทุนเป็นรายตัว โดยกลุ่มที่น่าสนใจคือการท่องเที่ยว ซึ่งได้รับผลบวกจากช่วงไตรมาสสี่ที่เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวสูงที่สุด
ทั้งนี้ ภาพรวมการลงทุนหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในระยะยาวจะส่งผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ แต่ระยะสั้นตลาดยังกังวลเรื่องของภาวะเศรษฐกิจถดถอย นักลงทุนยังต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่จะประกาศออกมาหลังจากนี้ แต่ในภาพรวมถือว่าทั้งตลาดหุ้น ทองคำ สินทรัพย์ดิจิทัล จะมีแนวโน้มที่สดใสในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS