{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
ถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมจัดกิจกรรม “Policy Hackathon ออกแบบตลาดทุน...เปลี่ยนนักออมรุ่นเยาว์สู่ Young Investor” ที่โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ออมไม่น้อยกว่า 20% ถึงมีเงินใช้หลังเกษียณนาน10 ปี แต่ถ้าลงทุนจะมีเงินใช้นานกว่าเดิม
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า การออมเป็นหัวใจสำคัญของชีวิต ซึ่งส่วนตัวเคยทำการศึกษาพบว่าหากอยากมีเงินใช้เพียงพอหลังเกษียณจะต้องออมให้มาก โดยจะต้องเริ่มออมตั้งแต่เริ่มทำงานอย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ และหากนำเงินก้อนนี้ไปฝากธนาคารจะมีเงินใช้ถึงอายุ 70 ปี แต่ถ้าแบ่งครึ่งหนึ่งไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ อีกครึ่งหนึ่งฝากธนาคารก็จะมีโอกาสมีเงินใช้เพียงพอถึงอายุ 80 ปี ดังนั้นเยาวชนทุกคนจะต้องให้ความสำคัญกับการออมและการลงทุน แต่ประเทศไทยมีกฎเกณฑ์ที่ทำให้เยาวชนไม่สามารถลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ในขณะที่ในหลายประเทศเปิดโอกาสให้เยาวชนสามารถลงทุนในตลาดทุนได้ จึงต้องหาแนวทางปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า โจทย์ของประเทศไทยนั้น รัฐควรออกแบบนโยบายอย่างไรให้เยาวชนได้มีโอกาสเลือกลงทุนภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อเปิดโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าเงินฝากและพันธบัตรรัฐบาล ภายใต้ความรู้ด้านการลงทุนที่ถูกต้อง ซึ่งการนำเสนอแนวคิดของผู้เข้าร่วมแข่งขันในกิจกรรมนี้ สามารถต่อยอดในการปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการในตลาดทุน หรืออาจนำไปสู่การผลักดันให้เกิดการทบทวนกฎหมายและกฎระเบียบ ปลดล็อกให้ผู้เยาว์สามารถลงทุนในตลาดทุนได้ต่อไป
“การลงทุนของเยาวชนอายุระหว่าง 12-20 ปี เป้าหมายไม่ใช่ความร่ำรวย แต่หัวใจของความสำเร็จที่แท้จริง คือทำให้เด็กรักการออม รักการลงทุน ถ้ารักการลงทุนเด็กจะรู้สึกว่าการลงทุนงอกเงยเร็วกว่าฝากธนาคาร ที่สำคัญคือเก็บแต่แรก ออมก่อนแล้วใช้ทีหลัง และหากคนไทยมีเงินออม สามารถดูแลตัวเองได้อย่างเข้มแข็งก็จะแบ่งเบาภาระของรัฐในอนาคต” ดร.กอบศักดิ์ระบุ
ด้านดร.กิรติพงศ์ แนวมาลี หัวหน้าทีมการปฏิรูปกฎหมาย ทีดีอาร์ไอ ระบุว่า กิจกรรมครั้งนี้มีที่มาจากโครงการปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจในตลาดทุนไทย เพื่อหาแนวทางปรับลดกฎเกณฑ์ที่จะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบธุรกิจและนักลงทุน ปลดล็อกให้เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในตลาดทุน เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันให้ตลาดทุนไทย ซึ่งโจทย์นักลงทุนรุ่นเยาว์เป็นหนึ่งในประเด็นที่มีการทบทวน เนื่องจากพบว่าเยาวชนให้ความสนใจกับเรื่องการเงินและการลงทุนมากขึ้น ทั้งนี้ข้อเสนอของทีมที่เข้าแข่งขันนั้น สามารถสะท้อนได้ว่ากฎระเบียบปัจจุบันมีอุปสรรคอะไรบ้าง ผลิตภัณฑ์และการกำกับดูแลอะไรที่ยังไม่ตอบโจทย์นักลงทุนรุ่นเยาว์ รวมทั้งการให้ความรู้อย่างไรที่จะดึงดูดให้นักลงทุนรุ่นเยาว์มีความรู้เท่าทันความเสี่ยงของเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆในการนำเสนอแนวคิดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาต่อไป
ทีมชนะเลิศ เสนอตั้ง “กองทุนเพื่ออนาคต” เปิดทางอายุ12 เริ่มต้นลงทุนได้ ให้รัฐสมทบเพิ่ม-ผู้ปกครองใช้ลดหย่อนภาษี
สำหรับผลการตัดสินนั้น มีทีมที่ได้รับรางวัล 4 ทีมจากผู้ส่งผลงานร่วมเข้าแข่งขัน 78 ทีมโดยรางวัลชนะเลิศเป็นของทีม TIFF โดยนายชานนท์ ลิมป์ประสิทธิพร และน.ส.ธนัชญา ปิยวรไพบูลย์ ซึ่งนำเสนอกองทุนเพื่ออนาคตของเยาวชน (TeenInvest future fund : TIFF) โดยขยายสิทธิการลงทุนให้กับเยาวชนอายุ 12-20 ปีจากเดิมที่ต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป โดยรัฐต้องสร้างแรงจูงใจให้เยาวชนลงทุนในกองทุนนี้ด้วยการสบทบเงินเข้ากองทุน 50 เปอร์เซ็นต์แต่ไม่เกินปีละ1,800 บาท นอกจากนี้ผู้ปกครองสามารถนำการลงทุนของเยาวชนไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ด้วย ขณะเดียวกันจะมีการให้ความรู้กับนักลงทุนรุ่นเยาว์ผ่านเกมในรูปแบบต่างๆ เช่น ให้เงินสมทบเพื่อจูงใจให้นักลงทุนรุ่นเยาว์ที่อ่านบทความ หรือเข้าคอร์สอบรมความรู้เรื่องการลงทุน โดยรัฐสมทบเงินพิเศษเข้ากองทุนปีละไม่เกิน 500 บาทต่อคน
ชงรัฐ สนับสนุนให้ทุกคนเข้าตลาดทุนตั้งแต่เกิด
ขณะที่รางวัลรองชนะเลิศเป็นของทีม JITTSTOR ที่เสนอโครงการ “เกิดมาลงทุน” สนับสนุนให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนในตลาดทุนได้ตั้งแต่เกิด โดยรัฐมอบเครื่องมือการบริหารจัดการเงินอย่างอัตโนมัติ ซึ่งเป็นวอลเล็ต ที่เชื่อมต่อกับบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ให้เด็กทุกคน พร้อมบริหารจัดการความเสี่ยงด้วยระบบ Smart License
ส่วนรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง มีผู้รับรางวัลร่วม 2 ทีม คือ ทีมม้าโพนี่ทะเล และ ทีมเมกกะสั่งลุย โดยทีมเมกกะสั่งลุย นำเสนอกองทุนความเสี่ยงต่ำไม่ปันผล สำหรับผู้ที่อายุ12-20 ปี สามารถลงทุนได้ตั้งแต่ 1 บาท และซื้อได้ไม่เกิน 2,000 บาทต่อเดือน รัฐสมทบทุนให้ 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อครบอายุ 20 ไม่สามารถเพิ่มเงินลงทุนต่อได้ แต่สามารถขายกองทุนนี้ภายในอายุ 25 ปี ขณะที่ทีมม้าโพนี่ทะเล นำเสนอ ฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน โทรศัพท์มือถือ ภายใต้แนวคิด ปัดเศษทุกยอดการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้เป็นเงินลงทุน ซึ่งจะต้องผูกกับบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต-เดบิต บัตรสมาร์ทคาร์ดภายในโรงเรียน โดยกลุ่มเป้าหมายเป็นเยาวชนอายุ 15-20 ปี พร้อมกับเสนอให้มีการแนะแนวความรู้เรื่องการลงทุนผ่านการปรับหลักสูตรการศึกษา
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS