เอเซีย พลัส มองตลาดหุ้นไทยยังแกว่ง มองได้รัฐบาลใหม่แรงหนุน มองเป้าปีนี้ ดัชนีไว้ที่ 1480/1542 จุด

สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) ในกลุ่มบริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์จำกัด (มหาชน) หรือ ASPS ประเมินภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในช่วง 3Q66 แกว่งผันผวน จากความเสี่ยงของเศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรป ที่มีโอกาสเกิดภาวะ Recession หลังจากธนาคารกลาง (FED และ ECB) ส่งสัญญาณชัดต่อการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดผ่านการขึ้นดอกเบี้ยฯ แต่อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยในช่วง 1H66 ที่ SET Indexปรับลง 9.9% จนระดับ Valuation ในมิติของ Market Earning Yield Gap ลงมาในระดับที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในรอบ 12 ปีซึ่งถือว่าไม่แพง ขณะที่ทิศทางเศรษฐกิจและก าไรบริษัทจดทะเบียนที่ยังมีแนวโน้มฟื้นตัว ทำให้ตัวแปรที่กำหนดทิศทางตลาดหุ้นในไตรมาสนี้อยู่ที่ปัจจัยทางการเมืองในประเทศเป็นสำคัญ โดยหากเลือกนายกฯและจัดตั้งรัฐบาลดำเนินไปด้วยความราบรื่นเชื่อว่าจะเป็นแรงดึงดูด Fund Flow ไหลกลับ แต่หากออกในทางตรงข้ามถือเป็นปัจจัยที่กลับมากดดันตลาดหุ้นอีกครั้ง โดยฝ่ายวิจัยฯประเมินระดับเป้าหมายดัชนีไว้ที่ 1480/1542 จุด

คุณเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่าในช่วงครึ่งปีแรก ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากความกังวลเรื่องเสถียรภาพและการเปลี่ยนผ่านนโยบายต่างๆ เริ่มจาก 1) นโยบายการเงินที่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยฯจาก 1.25% ช่วงต้นปีมาที่ 2% ในปัจจุบัน 2) ความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังต่อการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งและ 3) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกรณี STARK ส่งผลต่อ Fund Flow ต่างชาติไหลออกในปีนี้ 1.07 แสนล้านบาทกดดันตลาดหุ้นไทยปรับลง 9.9% Underperform สวนทางตลาดหุ้นโลกที่ปรับขึ้น 12.8%

แต่อย่างไรตามในช่วงครึ่งปีหลังที่ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น จากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ FED และ ECB ที่เริ่มส่งผลมายังภาคเศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรปเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว อีกทั้งยังส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยฯเพื่อกดเงินเฟ้อฯให้ลงมาอยู่ในระดับเป้าหมาย 2% ทำให้ความเสี่ยง Recession ของสหรัฐฯและยุโรปไม่หมดไป สวนทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตจากภาคบริโภคในประเทศและท่องเที่ยว ด้านทิศทางเงินเฟ้อฯ พ.ค.อยู่ในระดับ 0.53%yoy ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของ ธปท. ในช่วง 1-3% ลดแรงกดดันต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยฯของ กนง. ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2566 ฝ่ายวิจัยฯคาดอยู่ที่ 1.12 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นEPS66F ที่ระดับ 91.8 บาท/หุ้น เติบโต 12.6%yoy ซึ่งในเชิง Valuation จะได้ค่า Market Earning Gap ที่ 4.11%ใกล้ค่าเฉลี่ยในรอบ 12 ปี จึงทำให้ทิศทาง Fund Flow มีโอกาสไหลกลับ โดยกำหนดเป้าหมายดัชนีไว้ที่ 1542 จุด (จาก Market Earning Yield Gap 4.0% , ดอกเบี้ยนโยบาย2.0% และ EPS66F 91.8 บาท/หุ้น) และถ้า กนง. ขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งได้ Target SET 1480 จุด บริเวณนี้ถือแนวรับทางพื้นฐาน และโซนในการสะสมหุ้นที่ดี

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำทยอยสะสมหุ้นเมื่อ SET Index อยู่ในระดับต่ำกว่า 1480 จุด โดยเลือกหุ้นพื้นฐานดีราคาลงลึก พร้อมกับมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว

คุณบำรุงพงษ์ ชีวธนากรณ์กุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์หุ้นต่างประเทศ บล.เอเซีย พลัส ประเมินภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นสหรัฐเดือน ก.ค. ยังคงถูกกดดันจากการดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดของ FED เนื่องจากเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามมองว่าการดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดจะไม่กดดันสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นสหรัฐเหมือนในปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจุบันเงินเฟ้อสหรัฐเดือน พ.ค. 2023 ลดลงต่อเนื่อง 11 เดือนติดต่อกันและทำระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี รวมถึงมีแนวโน้มชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ฝ่ายกลยุทธ์หุ้นต่างประเทศมองว่าเป็นจังหวังทยอยสะสมหุ้นสหรัฐที่ผลประกอบการมีแนวโน้มออกมาดี อาทิกลุ่ม Technology, Communication Services ที่นักวิคราะห์คาดกำไร 2Q23 – 4Q23 จะเติบโตต่อเนื่องและกลุ่ม Consumer Discretionary ที่คาดว่ากำไรจะพลิกกลับมาโดดเด่นใน 3Q23 และ 4Q23

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำทยอยสะสมหุ้นบริเวณแนวรับดัชนี S&P500 ที่ 4325 – 4300 จุด โดยเลือกหุ้นจากกลุ่มที่มีผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประโยชน์จาก AI และมีแนวโน้มผลประกอบการออกมาดีในอนาคต หุ้นเทคโนโลยีที่เป็น Big Cap ที่ยังไม่ทำ ALL TIME HIGH

ภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นจีนเดือน ก.ค. ยังถูกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังออกมาต่ำกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่แม้มีการเปิดประเทศเต็มรูปแบบตั้งแต่ต้นปีที่ผ่าน อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆมากขึ้น ผ่านการลดดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยเงินกู้ รวมถึงลดอัตราการดำรงเงินสำรอง (RRR) พร้อมกันนั้นฝ่ายกลยุทธ์คาดคาดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนจะขยายตัวได้ดีใน 4Q23 เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวตรงกับวันหยุดยาว (Golden Week) โดยข้อมูลจากกระทรวงวัฒนธรรมและท่องเที่ยวเผยว่า ช่วงวันหยุดยาว Golden Week มีจำนวนผู้เดินทางในประเทศสูงที่สุดจากทุกเทศกาล เนื่องจากกินเวลาวันหยุดกว่า 7-8 วัน และด้วย Valuation ของดัชนี HSI Index ซึ่งปัจจุบันซื้อขายที่ Forward P/E บริเวณต่ำกว่า 1SD ซึ่งมองว่าเป็นบริเวณที่ Down Side Risk จำกัด ทำให้ฝ่ายกลยุทธ์เห็นจังหวะในการเก็งกำไรในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวชัดเจน

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อเก็งกำไรหุ้นบริเวณแนวรับดัชนี HSI Index ที่ 19,000 จุด โดยเลือกหุ้น Big Cap. ที่มี Valuation ต่ำพร้อมกับการปลดล็อคมูลค่าของกิจการผ่านการนำบริษัทลูกเข้า IPO


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment