“แองเจิล” ตั้งเป้าปี 66 ปั๊มยอดขายสูงสุด 2.5 หมื่นล้าน

แองเจิล เรียลเอสเตทฯ เห็นสัญญาณบวกตลาดคอนโดฯ ฟื้นตัว เผยจีนเปิดประเทศ กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยตลาดหลัก กลุ่มนักลงทุนเตรียมกลับมา ตั้งเป้ายอดขายสูงสุด 25,000 ล้านบาท

นายไซม่อน ลี (Simon Lee) ประธานกรรมการ บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด (Angel Real Estate Consultancy Co.,Ltd.หรือ ARE) เปิดเผยว่า ในปีพ.ศ.2566 วางเป้ายอดขายปีนี้ประมาณ 7,000 ล้านบาท จนไปสูงสุดที่ 25,000 ล้านบาท จะสามารถทำยอดโอนกรรมสิทธิ์ได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 10% ขึ้นอยู่ว่าจะเน้นการขายห้องชุดพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ (Ready to move in หรือ RTM) หรือขายแบบพรีเซล เป็นต้น โดยปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตที่บริหารอยู่ประมาณ 5 - 6 พอร์ตๆละกว่า 80 -100 ยูนิต และจะเพิ่มพอร์ตรวมเป็น 20 พอร์ต

โดยแองเจิลฯจะกลับมารุกธุรกิจเอเจนท์ หลังจากปรับแนวทางดำเนินธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะตลาดที่หดตัวอย่างรุนแรง เนื่องจากในช่วงปีพ.ศ.2563-2565 (3 ปีที่ผ่านมา) ที่มีการระบาดไปทั่วโลก หลายประเทศจำกัดการเดินทาง (ล็อกดาวน์) ส่งผลให้ยอดขายและรายได้ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก แต่ด้วยความโชคดีในช่วงปีพ.ศ.2562 แองเจิลฯได้มีการลดต้นทุนลง เนื่องจากในตอนนั้น บริษัทอสังหาฯยอดขายขายโครงการดี แต่ราคาคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพมหานครสูงเกินไป (Over Priced) และราคาใกล้เคียงกับประเทศอังกฤษ และ สิงคโปร์ เป็นต้น

นอกจากนี้ กลยุทธ์ในเรื่องการดูแลและบริหารสินค้า ช่วงที่เกิดโควิด-19 กลุ่มที่มีฐานะการเงินที่ดี ได้มองหาที่อยู่อาศัยนอกประเทศของตนเอง เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับตนเองและครอบครัว ต้องการห้องเพนท์เฮ้าส์ หรือ บ้านขนาดใหญ่ ที่มีพื้นที่ค่อนข้างมาก ทำให้ต้องหาสินค้าที่สอดรับกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป เน้นทำตลาดระดับราคาแพง จากเดิมพอร์ตหลักราคาจะอยู่ที่ 5-15 ล้านบาทต่อยูนิต ปรับมาเจาะกลุ่มราคา 30 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต จนไปถึงระดับ 150 ล้านบาทต่อยูนิต

"จุดแข็งที่ลูกค้ายังเชื่อมั่นในแบรนด์แองเจิลฯ เพราะบริษัทรับผิดชอบ ซึ่งเป็นแนวทางและนโยบายที่ทำมาตลอด บริษัทใส่ใจและติดต่อลูกค้าตลอดเวลา เวลาที่ลูกค้ามีปัญหา ทางทีมจะเข้าไปแก้ไขให้กับผู้ซื้อ เพราะมีระบบบริหารจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management หรือ CRM) และการใส่ใจต่อความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมองค์กร (Corporate Social Responsibility หรือ CSR) ที่ต่อเนื่อง” นายไซม่อน กล่าว

สำหรับเรื่องที่จีนเปิดประเทศนั้น นายไซม่อน กล่าวว่า การที่จีนเปิดประเทศ ไม่ได้ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมกลับมาโดดเด่น ไม่หวือหวาเหมือนภาพปีพ.ศ.2560-2562 แต่จะค่อยๆ โต เพราะมีหลายปัจจัยที่นักลงทุนมอง แต่กระนั้น คนจีนหลายๆคน อยากจะออกมาเพื่อต้องการมีบ้านหลังที่สอง โดยหากเป็นชาวจีนที่มีฐานะดี จะไปซื้ออสังหาริมทรัพย์แพงๆที่ประเทศสิงคโปร์ และ ญี่ปุ่น ส่วนที่มีฐานะกลางๆ เลือกมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ระดับราคา 5-7.5 ล้านบาท (หรือประมาณ 1-1.5 ล้านหยวน) ซึ่งในปัจจุบัน ซัพพลายอสังหาฯที่อยู่ในตลาดประมาณร้อยละ 5-10 จะเป็นระดับลักชัวรี่ ที่เหลือร้อยละ 90 จะเป็นสินค้าระดับราคา 3-10 ล้านบาท สินค้ากลุ่มนี้ ตอบโจทย์ลูกค้าจีนอยู่แล้ว ดังนั้น ให้วิเคราะห์คงต้องใช้เวลาประมาณ 7-8 เดือนข้างหน้า หลังจีนเปิดประเทศจะส่งผลดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย"

โดยทำเลศักยภาพ ที่คนจีนยังมีความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมว่า หลักๆยังเป็นทำเลเดิมที่คุ้นเคย ได้แก่ โซนสุขุมวิท ,สาทร ,สีลม ,รัชดาภิเษก ,พระราม9 ,รามคำแหง และเส้นศรีนครินทร์ (ที่อยู่ใกล้เมือง) จะขายดี แต่ก็ยังมีบางทำเล ที่คนจีนและคนต่างชาติอาจจะไม่คุ้นเคยเช่น แนวรถไฟฟ้าสายสีแดง ,สีชมพู หรือทำเลนนทบุรี เป็นต้น


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment