{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ในปี 2565 ตลาดเงินตลาดทุนและภาพรวมเศรษฐกิจผ่านสิ่งเลวร้ายและความผันผวนมามาก แต่ปี 2566 ยังน่าห่วงกว่านี้ แท้จริงแล้วน่าจะถูกครึ่งเดียว ตรงที่ความเสี่ยงมีมากขึ้น ในมุมความเสี่ยงสารพัดในปี2566 น่าจะมีส่วนของความเสี่ยงในปีนี้ที่อาจรุนแรงขึ้น นั่นคือ
1. ปัญหาการรุกรานของรัสเซียในยูเครนที่ยืดเยื้อ จนกระทบห่วงโซ่อุปทานด้านอาหารสัตว์ ปุ๋ย รวมทั้งสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ
2. ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แม้เงินเฟ้อจะปรับลดลง เฟดลดความร้อนแรงในการขึ้นดอกเบี้ย แต่อาจต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีหน้าเพื่อคุมเงินเฟ้อให้ลดลงในกรอบให้ได้ จนเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยแรงกว่าคาด
3. จีนล็อกดาวน์ในหลายพื้นที่ต่อเนื่องตามมาตรการ Zero-Covid แต่รอบนี้มีการประท้วงในหลายเมือง ซึ่งสะท้อนความไม่พอใจของประชาชนต่อนโยบายนี้ ขณะที่รัฐบาลจีนยังไม่มีท่าทีผ่อนปรน หากสถานการณ์ยืดเยื้อก็น่าจะกระทบอุปสงค์ในประเทศจีน โดยฉพาะต้องติดตามว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนจะมีปัญหา จนฟองสบู่แตก ราคาที่ดินร่วงหรือไม่ เพราะจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาหนี้ที่สูงในภาคส่วนนี้ รวมทั้งทำให้ห่วงโซ่การผลิตชะงักงัน และอาจจะส่งผลให้การส่งออกและการผลิตในประเทศต่างๆ ได้รับผลกระทบตามมาด้วยเนื่องจากขาดแคลนชิ้นส่วนวัตถุดิบจากจีน
ทั้งนี้ ความเสี่ยงทั้ง 3 ยังไม่น่าหายไปในช่วงต้นปี 2566 และอาจมีความเสี่ยงอื่นๆ ตามมา คือ
4. วิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรป โดยเฉพาะในประเทศที่มีหนี้ภาครัฐสูง เช่น อิตาลี หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นจนนักลงทุนกังวลปัญหาการผิดนัดชำระหนี้เช่นในอดีต แม้ทางธนาคารกลางยุโรปจะมีมาตรการรับมือ แต่หากยูโรโซนเผชิญปัญหาเศรษฐกิจถดถอยท่ามกลางเงินเฟ้อที่พุ่งสูง การช่วยเหลืออาจทำได้จำกัด และน่ากระทบความเชื่อมั่นในสกุลเงินยูโร ส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงและกลับไปถือสินทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐอีกครั้ง
5. วิกฤติตลาดเกิดใหม่ สืบเนื่องจากปีนี้ที่หลายประเทศกำลังเผชิญความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะเมื่อเงินสำรองระหว่างประเทศลดลงเร็วจากรายจ่ายด้านน้ำมันและเงินโอนออกนอกประเทศ ขณะที่รายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวหดหาย ปัญหานี้อาจขยายวงได้อีกครั้ง เสมือนใครจะเป็นโดมิโนรายต่อไปที่จะล้ม หากนักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่นและดึงเงินลงทุนกลับ ค่าเงินจะอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว และประเทศเหล่านี้อาจเผชิญปัญหาสภาพคล่อง ต้องขอความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศ แต่ปัญหานี้ไม่น่ารุนแรงจนลามไปประเทศที่มีเงินสำรองระหว่างประเทศสูงและไม่มีปัญหาด้านความเชื่อมั่น
6. โควิดกลายพันธุ์ แพร่ได้เร็ว หลบภูมิคุ้มกัน แม้อาการไม่รุนแรง แต่จะส่งผลให้มีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โรงพยาบาลและระบบสาธารณสุขมีปัญหา รัฐบาลอาจต้องจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้ออาจกระทบความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านท่องเที่ยว รวมทั้งอาจกระทบภาคการผลิต ซึ่งจะมีผลให้ห่วงโซ่อุปทานมีปัญหากระทบการส่งออกได้
มุมมองเศรษฐกิจไทย
สำหรับมุมมองเศรษฐกิจไทยนั้น สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย คงการคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2565 ที่ 3.2% และปี2566 ที่ 3.4% แม้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวดีเกินคาดในช่วงไตรมาสสามที่ GDP เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนถึง 4.5% (yoy) หรือขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้าหลังปรับฤดูกาลถึง 1.2% (qoq,sa) แต่การฟื้นตัวหลักมาจากการเปิดเมืองและการเปิดรับการท่องเที่ยวจากต่างชาติที่มากขึ้น กลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์ยังกระจุกตัวในกลุ่ม โรงแรม ร้านอาหาร และการขนส่ง ขณะที่การใช้จ่ายในกลุ่มอื่นๆ ยังขยายตัวไม่โดดเด่น อาจด้วยรายได้คนทั่วไปไม่ได้ปรับขึ้นมาก แต่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นสูงจนคนระมัดระวังการใช้จ่าย นอกจากการบริโภคภาคเอกชนแล้ว การลงทุนภาคเอกชนก็เป็นตัวสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งการสั่งซื้อเครื่องจักรและวัตถุดิบ รวมทั้งภาคการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐยังเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจต่อเนื่องในปีนี้
นอกจากนี้ ภาพการฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้ส่งสัญญาณว่ามาจากอุปสงค์ที่อัดอั้นมานานและพร้อมกระโจนใช้จ่าย หรือ pent-up demand ซึ่งมองต่อไปก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงได้ เราจึงคาดว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสสี่จะขยายตัวได้ 3.7%yoy หรือ 0.6%qoq,sa โดยการส่งออกน่าจะเริ่มชะลอลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้าท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่เติบโตช้าลง โดยเฉพาะในฝั่งสหรัฐและยุโรปที่จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมทั้งการส่งออกของจีนมีแนวโน้มติดลบในปีหน้า ทั้งจากอุปสงค์ตลาดโลกที่อ่อนแอลง ปัญหาห่วงโซ่อุปทานชะงักงัน และจากความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งโดยรวมจะกระทบการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน และอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่กลุ่มอาหารแปรรูปและ
สินค้าเกษตรน่าจะยังพอประคองตัวได้จากการที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขัน ในส่วนการลงทุนภาคเอกชนนั้น เรามองการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป และน่าจะยังหวังการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาอาเซียนรวมทั้งไทยได้ในปีหน้า โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า การผลิตแบตเตอรี่ และอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ขณะที่การก่อสร้างคอนโดมิเนียมในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทที่คนไทยพอเข้าถึงได้น่าเป็นโอกาสในการลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้า โดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย
ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว เราอาจเห็นบทบาทการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐลดลง โดยการใช้จ่ายภาครัฐอาจไม่ขยายตัวจากปีนี้ และน่าจะไม่สามารถคาดหวังโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ได้มากนัก ด้วยงบประมาณที่จำกัดและนำมาใช้ด้านสวัสดิการคนจนเป็นสำคัญ อีกทั้งหากรัฐบาลใช้เงินมากระตุ้นการใช้จ่ายมากเกินไปก็อาจทำให้อุปสงค์เร่งแรงกว่าการขยายตัวของอุปทาน ความไม่สมดุลนี้จะนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูง หรือการขาดความเชื่อมั่นในภาคการคลังในประเทศ ซึ่งรัฐน่าจะประคองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและเน้นการกระจายรายได้ให้ทั่วถึงในปีหน้า
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย เรามองว่า ขณะที่เศรษฐกิจกำลังมีความเปราะบางและความเสี่ยงเรื่องหนี้ครัวเรือนเช่นนี้ การขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ทางสหรัฐกำลังอยู่ช่วงปลายทางของการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และน่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปถึงระดับสูงสุดในช่วงไตรมาส 1-2 ในปีหน้า ดังนั้นแล้ว ทางธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะหยุดขึ้นดอกบี้ยได้ช่วงกลางปี ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ระดับ 2% ในช่วงกลางปีหน้า จากระดับ 1.25% ในปลายปีนี้ อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อของไทยยังมีความเสี่ยงที่จะอยู่เหนือกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อระดับบนที่ 3% ซึ่งทางธปท. ยังไม่น่าส่งสัญญาณการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังปีหน้าได้
ในส่วนของทิศทางอัตราแลกเปลี่ยน เรามองว่า เงินบาทมีแนวโน้มผันผวนตามการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันที่ลดลง ซึ่งทำให้มีความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐเพื่อใช้จ่ายลดลงตาม ขณะที่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐตามคาดน่าจะเป็นบรรยากาศในการลงทุนที่ดีขึ้น แม้เฟดจะยังขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีหน้า โดย เรามองเงินบาทไว้ที่ระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปี2565 นี้ อย่างไรก็ดี เรากังวลในส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐที่ยังสูงในช่วงครึ่งแรกปีหน้า ประกอบกับการส่งออกที่ยังมีทิศทางไม่สดใสและรายได้จากการท่องเที่ยวยังไม่กลับมาเต็มที่ ซึ่งน่าจะยังทำให้ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึงกลางปีหน้า และน่าจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้ในช่วงเวลาดังกล่าว ก่อนพลิกกลับมาแข็งค่าในช่วงปลายปีตามการฟื้นตัวของรายได้จากการท่องเที่ยว และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย โดยเรามองเงินบาทที่ระดับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปลายปี2566
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS