{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
SHR เผยผลการดำเนินงานโต 66% กวาดรายได้ 2,362 ล้านบาทในไตรมาสที่ 3 พร้อมพลิกรายงานกำไรสุทธิจำนวน 208 ล้านบาท มั่นใจทะลุเป้าหมายรายได้ที่วางไว้ 8,500 ล้านบาท
นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ในเครือสิงห์ เอสเตท เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีรายงานรายได้จากการขายและการให้บริการ 6,123 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งผลักดันจากการเติบโตของผลประกอบการของโรงแรมที่บริษัทฯ ลงทุนเติบโตขึ้นทั้ง 4 พอร์ตโฟลิโอ นำทัพโดยผลประกอบการที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่องของโรงแรมทั้ง 2 แห่งในโครงการ CROSSROADS Maldives ซึ่งสามารถรักษาอัตราการเข้าพักได้อย่างแข็งแกร่งเฉลี่ยที่ระดับร้อยละ 67 อีกทั้งยังสามารถปรับอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (ADR) ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 41 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เช่นเดียวกันกับพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักรที่ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแรง ส่งผลให้อัตราค่าห้องพักต่อคืน หรือ ADR อยู่ในระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่เปิดดำเนินงานมาในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ที่ 89 ปอนด์ และผลักดันให้ RevPAR ในงวด 9 เดือนของปีปรับตัวขึ้นไปสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 ซึ่งนับเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้สำเร็จ นอกจากนั้นแล้ว บริษัทฯ เห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนของอุปสงค์การท่องเที่ยวในสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ ตามด้วยสาธารณรัฐมอริเชียส ภายหลังการเริ่มเปิดประเทศอย่างรูปแบบ ส่งผลให้รายได้ในงวดดังกล่าวของพอร์ตโรงแรม Outrigger ฟื้นตัวโดดเด่นที่สุดด้วยรายได้ที่ 1,012 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตกว่า 22 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับในไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี 2565 ซึ่งจะถูกผลักดันโดยผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของโรงแรมในประเทศไทย ซึ่งสะท้อนผ่านสถิติการท่องเที่ยวในเดือนตุลาคม 2565 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในไทยเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 44 จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 3.1 ล้านคน ซึ่งฟื้นตัวเกือบเทียบเท่าระดับเดียวกับจำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อเดือนในปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด-19 จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ผนวกกับประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโรงแรมในประเทศไทยของบริษัทฯ ส่งผลให้ในเดือนตุลาคม 2565 โรงแรมในประเทศไทยของบริษัทฯ มีอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับร้อยละ 71 โดยเฉพาะโรงแรม ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ และโรงแรม ทราย ลากูน่า ภูเก็ต มีอัตราการเข้าพักที่ร้อยละ 81 และร้อยละ 77 ตามลำดับ ทั้งนี้ อัตราการเข้าพักมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องได้จนถึงต้นปี 2566 และปรับเพิ่ม ADR ได้สูงกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 ได้สำเร็จ และหนุนด้วยการเติบโตของ CROSSROADS ซึ่งปกติมีช่วง Peak seasons ของการท่องเที่ยวในระหว่างไตรมาสที่ 4 และคาดการณ์ว่าจะมีผลการดำเนินงานที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เปิดตัวโครงการในปี 2562 ได้ในไตรมาสที่ 4 ที่จะถึงนี้
“ผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวได้ดีกว่าที่เราคาดการณ์ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาเป็นผลมาจากศักยภาพของโรงแรมของบริษัทฯ ที่ตั้งอยู่ในจุดหมายทางด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั้ง 5 แห่งทั่วโลก จุดขายที่โดดเด่นและแตกต่างจากคู่เเข่งของแต่ละโรงแรม ประกอบกับการทำตลาดเชิงรุกเต็มที่เพื่อเสริมสร้างกลยุทธ์ในการหมุนเวียนลูกค้า เพื่อสร้างสมดุลและเสถียรภาพทางรายได้ให้กับบริษัทฯ เรามีความมั่นใจต่อผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายของปี ที่จะโตอย่างโดดเด่น และผลักดันให้รายได้ทั้งปี 2565 เติบโตขึ้นกว่า 90% จากปีก่อนหน้า” นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า เดอ คุยเปอร์ กล่าว
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS