WHA Group โชว์ไตรมาส1/2565 กวาดกำไรปกติ 653.2 ล้านบาท โต 255.4%

ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group ประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2565 มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร 2,182.2 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 656.1 ล้านบาท ส่งซิกไตรมาส 2/2565 เตรียมเสิร์ฟข่าวดี ปิดดีลลูกค้ารายใหญ่กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรและกำไรสุทธิ ทั้งสิ้น 2,182.2 ล้านบาท และ 656.1 ล้านบาท ตามลำดับ โดยหากพิจารณาถึงผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 2,164.6 ล้านบาท และกำไรปกติ 653.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.8% และ 255.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2564 สะท้อนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากแพลตฟอร์ม 4 กลุ่มธุรกิจ

สำหรับผลการดำเนินงานของ 4 กลุ่มธุรกิจว่า ธุรกิจโลจิสติกส์ ในไตรมาสแรกบริษัทฯ รับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 228.5 ล้านบาท โดยมีการเปิดโครงการและลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/ คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น จำนวน 23,843 ตารางเมตร นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ทำสัญญาเช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูง รวมจำนวน 88,608 ตารางเมตร ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาสแรก บริษัทฯ มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหาร ทั้งหมด 2,573,282 ตารางเมตร

นอกจากนี้ ภายในไตรมาส 2/2565 บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถปิดดีลลูกค้ากลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ รายใหญ่ ที่จะลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit อีกประมาณ 35,000 ตารางเมตร ส่งผลให้บริษัทฯ จะมีสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/ คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น ไม่ต่ำกว่า 50,000 – 60,000 ตารางเมตร ในช่วงครึ่งปีแรก สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง

ส่วนโครงการอาคารสำนักงาน WHA Tower มีกลุ่มลูกค้าทยอยเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้น อาทิ GIZTIX เช่าพื้นที่ ขนาดพื้นที่เช่า 1,110 ตร.ม. โดยมีอายุสัญญาเช่า 5 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 และ Veger เช่าพื้นที่ ขนาดพื้นที่เช่า 1,096 ตรม. มีอายุสัญญา 6 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ 10 มีนาคม 2565

สำหรับแผนการเตรียมขายทรัพย์สิน และ/หรือ สิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART และ HREIT บริษัทฯตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้ 200,000 ตารางเมตร มูลค่าประมาณ 5,300 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีแผนเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมผู้ถือหน่วยของกอง WHART และ HREIT เพื่อขออนุมัติในช่วงไตรมาส 2/2565 ต่อไป

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม บริษัทฯ รับรู้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในไตรมาส 1/2565 รวม 694.0 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 เนื่องจากมีรายได้จากการโอนที่ดินปรับตัวสูงขึ้น สอดคล้องกับภาพรวมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและทิศทางการลงทุนของประเทศไทยที่จะเริ่มปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากนโยบายเปิดประเทศ มาตรการปลดล็อคการเดินทาง Test & Go ส่งผลให้ลูกค้าชาวต่างชาติสะดวกในการเดินทางเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น โดยไตรมาสแรก บริษัทฯมียอดขายที่ดินรวม 36 ไร่ ซึ่งเป็นในประเทศไทยทั้งหมด ส่วนในเวียดนามได้มีการเซ็นต์ MOU ไปแล้ว 124 ไร่ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มียอดขายที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ให้กับลูกค้ากว่า 400 ไร่ และคาดว่าจะสามารถปิดดีลการขายที่ดินกับลูกค้ารายใหญ่ได้อีกอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 2

กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภค ว่า ผลประกอบการของธุรกิจน้ำในไตรมาส 1/2565 มีการเติบโตอย่างโดดเด่น ทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคเท่ากับ 622.0 ล้านบาท โดยมีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งหมด ในประเทศไทย และต่างประเทศรวม 36 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 11% โดยเป็นสัดส่วนปริมาณยอดจำหน่ายน้ำในประเทศเท่ากับ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนการเติบโตของปริมาณการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มลูกค้าเดิม โดยเฉพาะลูกค้าหลัก ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มโรงไฟฟ้า ที่มีปริมาณการใช้น้ำเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ในส่วนของ ธุรกิจไฟฟ้า บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากการดำเนินงานจากการลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าไม่นับรวมกำไร/ ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายได้จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในไตรมาส 1/2565 เท่ากับ 92.8 ล้านบาท ปรับตัวลดลงโดยมีปัจจัยหลักมาจากส่วนแบ่งกำไรปกติจากโรงไฟฟ้า GHECO-One ที่ลดลง เนื่องจากสาเหตุสำคัญจากประกาศระงับการส่งออกถ่านหินของประเทศอินโดนีเซีย ส่งผลทำให้ราคาถ่านหินปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงโรงไฟฟ้ามีการหยุดซ่อมบำรุงจำนวน 18 วัน และส่วนแบ่งกำไรปกติจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ปรับตัวลดลง โดยมีสาเหตุหลักจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่การประกาศปรับอัตราค่าไฟฟ้าของภาครัฐยังไม่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส1 ที่ผ่านมา โดยจะมีการปรับอัตราค่าไฟฟ้าตามรอบการปรับปกติในเดือนพฤษภาคมและเดือนกันยายนนี้

ขณะเดียวกัน ในส่วนของธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มีการเติบโตอย่างโดดเด่น ซึ่งในไตรมาสแรก บริษัทฯ เซ็นสัญญาโครงการโซลาร์รูฟท็อป เพิ่มจำนวน 5 สัญญา กำลังการผลิตรวมประมาณ 13 เมกะวัตต์ รวมเป็นจำนวนเซ็นต์สัญญาสะสม 105 เมกะวัตต์ โดย 1 ใน 5 โครงการดังกล่าว ได้แก่ โครงการเมกาบางนา จำนวน 9.88 เมกะวัตต์ ที่คาดว่าจะพร้อมจ่ายไฟในช่วงปลายปี 2565 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับลูกค้าเพิ่มเติมอีก 3 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ โดยรวมทั้งหมดจากโรงไฟฟ้าทุกประเภท (Contracted Capacity) ตามสัดส่วนการถือหุ้นแตะ 655 เมกะวัตต์

ด้าน ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม สำหรับไตรมาส 1/2565 ถือเป็นธุรกิจที่สร้างผลงานได้เป็นอย่างดี โดยบริษัทฯ ได้จำหน่ายสินทรัพย์ประเภทดาต้า เซ็นเตอร์ (ธุรกิจศูนย์บริการระบบข้อมูลสารสนเทศ) 2 แห่ง และมีกำไรจากการจำหน่ายดาต้า เซ็นเตอร์ ทั้งสิ้นจำนวน 344.6 ล้านบาท โดยบริษัทฯยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอนวัตกรรมทางด้านดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร โดยบริษัทฯ วางแผนจะใช้เงินลงทุนในธุรกิจดิจิทัล ประมาณ 4,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 4-5 ปี เพื่อปรับการดำเนินธุรกิจให้เป็นรูปแบบ Tech Company ด้วยการต่อยอดในธุรกิจเดิมที่บริษัทมีอยู่ทั้งในด้านของธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม และธุรกิจไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภค เช่น ธุรกิจดิจิทัลเฮลธ์แคร์, EV Value Chain และระบบ Energy Trading เป็นต้น

อนึ่ง ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลรวมสำหรับผลประกอบการปี 2564 ที่ 0.1002 บาทต่อหุ้น โดยเป็นเงินปันผลระหว่างกาลที่ได้จ่ายให้ผู้ถือหุ้นไปแล้วจำนวน 0.0267 บาทต่อหุ้น และเงินปันผลที่ จะจ่ายเพิ่มเติมอีก 0.0735 บาทต่อหุ้น โดยมีกำหนดการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 พฤษภาคม 2565 นี้


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment