ALT เร่งพัฒนาโครงข่ายข้ามแดน 15 จุดดันไทยก้าวสู่ ASEAN Digital Hub

เอแอลที เทเลคอม เร่งพัฒนาโครงข่ายต่างประเทศ รองรับความต้องการใช้บริการแบนด์วิดท์พุ่งสูง ปูพรม 15 จุดข้ามแดน ผลักดันให้ไทยเป็น ASEAN Digital Hub ขณะที่สถานีเชื่อมต่อเคเบิลใต้น้ำ คาดก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/2565

นายพิชิต สถาปัตยานนท์ กรรมการบริหาร บริษัทเอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยว่า บริษัทได้วางโครงข่ายหลัก (Backbone Network) ลงทุนครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งประเทศเรียบร้อยแล้ว รวมถึงมีการสร้างสถานีฐาน 15 จุด เพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายของผู้ประกอบการประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย โดยมีการลงทุนผ่านกิจการร่วมค้า คือบริษัท สมาร์ท อินฟราเนท จำกัด (SIC) และ บริษัทอินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด (IH) เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าภายในประเทศ และลงทุนผ่าน บริษัทย่อย คือ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เกทเวย์ จำกัด (IGC) เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ได้มีการลงทุนผ่าน บริษัทร่วมทุนคือ เมียนมาร์ อินฟอร์เมชั่น จำกัด (MIH) ที่เป็นกิจการในเมียนมาร์ให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่ลูกค้าในเมืองย่างกุ้ง

ซึ่ง การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะในเมียนมาร์ ปริมาณความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้นกว่า30% โดยผลประกอบการของ IGC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่เป็นผู้ให้บริการแบนด์วิดท์ระหว่างประเทศแก่ลูกค้าที่เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้มีรายได้สูงขึ้น จากปริมาณการใช้งานแบนด์วิทด์ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว

โดยบริษัทได้วางเป้าหมายที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ASEAN Digital Hub จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ที่มีความเหมาะสมเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อของภูมิภาคอาเซียนทำให้ประเทศไทยสามารถวางโครงข่ายโทรคมนาคมเชื่อมต่อไปยังประเทศที่เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Internet Hub) ที่สำคัญๆของโลกและเชื่อมต่อโดยตรงไปยังภูมิภาคอื่นๆได้ด้วยระบบเคเบิลใยแก้วนำแสงภาคพื้นดินและระบบเคเบิลใต้น้ำ

IGC ได้เริ่มดำเนินโครงการก่อสร้างระบบเคเบิลใต้น้ำและสถานีเชื่อมต่อเคเบิลใต้น้ำในพื้นที่จังหวัดสตูลเป็นโครงการแรกของIGC ในธุรกิจให้บริการเคเบิลใต้น้ำในพื้นที่จังหวัดสตูลเพื่อเชื่อมต่อระบบเคเบิลใต้น้ำในโครงการเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศในส่วนของเส้นทางประเทศไทยฝั่งทะเลอันดามันไปยังจุดเชื่อมต่อในมหาสมุทรอินเดียเพื่อรองรับการเชื่อมโยงระบบสื่อสารระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย

ทั้งนี้โครงการระบบเคเบิลใต้น้ำที่ IGC เข้าไปมีส่วนร่วมในการให้บริการเป็นโครงการร่วมกันระหว่างผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมและ OTT มีความยาวกว่า8,000กิโลเมตร มีจุดการเชื่อมต่อโดยเริ่มต้นจากประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ประเทศไทย เมียนมาร์ และไปสิ้นสุดที่ประเทศอินเดียระบบเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงมีจำนวนคู่ใยแก้วนำแสงตามแนวเส้นทางหลักทั้งสิ้น 12 คู่ใยแก้วนำแสง (fiber pairs) โดยระบบรองรับความจุในการสื่อสารข้อมูลได้มากกว่า 200 เทราบิทต่อวินาที (Tbps) ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างในส่วนโครงสร้างหลักของสถานีเชื่อมต่อเคเบิลใต้น้ำเสร็จสิ้นพร้อมรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 2 ปี2565

“ปัจจุบัน IGC ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทย่อยที่ ALT ตั้งเป้าให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ธุรกิจและได้เริ่มให้บริการแก่ลูกค้าต่างประเทศในระดับ World Class ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแนวหน้าในกลุ่มอุตสาหกรรมประเภท OTT โดยมีสัญญาให้บริการระยะยาวทั้งการให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคมและบริการสถานีเชื่อมต่อเคเบิลใต้น้ำในพื้นที่จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในธุรกิจให้บริการระบบเคเบิลใต้น้ำที่ได้รับความไว้วางใจและเชื่อมั่นในประสิทธิภาพโครงข่ายโทรคมนาคมของบริษัท” นายพิชิตกล่าว


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment