{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
เอแอลที เดินหน้าขยายฐานธุรกิจครั้งใหญ่ หวังสร้างโอกาสเติบโตยั่งยืนระยะยาว ดันธุรกิจโครงข่ายสื่อสารข้ามแดนและใยแก้วนำแสงเปิดให้บริการไตรมาส2/65 รุกคืบธุรกิจพลังงานทางเลือกและเมืองอัจฉริยะสอดคล้องนโยบายภาครัฐ พร้อมโชว์สิ้นไตรมาส 3/64 มี Backlog กว่า1.3 พันล้านบาท
นายสมบุญ เศรษฐ์สันติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการเงินและบัญชี บริษัทเอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยว่า ในปี 2564 ว่า เป็นปีที่บริษัทมีการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ เพื่อขยายฐานธุรกิจให้กว้างขวางขึ้นกว่าเดิมไม่จำกัดอยู่แค่เพียงโครงสร้างพื้นฐานสำหรับกิจการด้านโทรคมนาคม แต่จะสามารถต่อยอดการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้บริการแก่กิจการต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงขยายขอบการให้บริการไปถึงลูกค้าในต่างประเทศอีกด้วย
โดยในส่วนของธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม โครงข่ายไฟเบอร์ใยแก้วนำแสง ซึ่งเป็นธุรกิจหลักแต่เดิม บริษัทได้วางโครงข่ายหลัก ลงทุนครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งประเทศเรียบร้อยแล้ว รวมถึงมีการสร้างสถานีฐานเพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายของผู้ประกอบการในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย โดยมีการลงทุนผ่านกิจการร่วมค้า คือบริษัท สมาร์ท อินฟราเนท จำกัด (SIC) และ บริษัท อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด (IH) เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าภายในประเทศ และลงทุนผ่าน บริษัทย่อย คือ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เกทเวย์ จำกัด (IGC) เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในต่างประเทศ รวมถึง ลงทุนผ่าน บริษัทร่วมคือ เมียนมาร์ อินฟอร์เมชั่น จำกัด (MIH) ที่เป็นกิจการในเมียนมาร์ให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่ลูกค้าในเมืองย่างกุ้ง
ธุรกิจพลังงานอัจฉริยะ (Smart Grid & Smart Energy) ว่า จากงานให้บริการวางระบบและติดตั้งโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรีให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นโครงการนำร่องของประเทศไทยและมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐจะขยายให้ครอบคลุมหัวเมืองสำคัญทั่วทั้งประเทศ จึงเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง
นอกจากนี้บริษัทได้ขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจบริการจัดการพลังงาน โดยเป็นผู้ลงทุนและติดตั้งระบบและอุปกรณ์ Solar Rooftop ให้กับภาครัฐและภาคเอกชน เช่น ผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจโรงงานและอุตสาหกรรมขนาดกลาง เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับลูกค้าเพื่อใช้งาน โดยบริษัทได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าบริหารจัดการพลังงานซึ่งมีราคาถูกว่าค่ากระแสไฟฟ้าที่ลูกค้าต้องจ่าย และมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้พลังงานทดแทน
ส่วนธุรกิจเมืองอัจฉริยะ (Smart City) บริษัทได้มีการนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงใต้ดินเพื่อให้เมืองมีความสวยงามและปลอดภัย โดยบริษัทจะมีการติดตั้งเสาไฟอัจฉริยะ (Smart Pole) รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงเป็นจุดชาร์จไฟสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เช่นเดียวกับธุรกิจแพลตฟอร์มอัจฉริยะพัฒนาซอฟท์แวร์เพื่ออ่านป้ายทะเบียนรถยนต์
นายสมบุญยังกล่าวถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 ว่าบริษัทมีรายได้รวม 282.42 ล้านบาท ลดลง 43.7% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 501.59 ล้านบาท โดยเป็นการลดลงของธุรกิจจำหน่ายสินค้าและงานบริการรับเหมาติดตั้งวางระบบ 86.9% และ 43.6% ตามลำดับ
ขณะที่รายได้จากการให้บริการโครงข่ายมียอดเพิ่มขึ้น 18.4% เป็น 86.31 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 72.91ล้านบาท ซึ่งยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามผลการดำเนินการในไตรมาส3/64 บริษัทขาดทุนสุทธิ33.50ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิ67.25ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีงานในมือ (Backlog) จำนวน1,347ล้านบาท
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS