BYD รุกหลักทรัพย์ครบวงจร จับมือ TSB นำ E-Bus 120 คันให้บริการภายในปี 2564

หลักทรัพย์บียอนด์ หรือ BYD พร้อมในการให้บริการธุรกิจหลักทรัพย์ครบวงจร และจับมือไทยสมายล์บัส หรือ TSB นำ E-Bus 120 คันเริ่มให้บริการในปี 64 หลังรับมาแล้ว 12 คัน

นางสาวออมสิน ศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาการให้บริการในธุรกิจหลักทรัพย์แบบครบวงจร ควบคู่ไปกับการขยายโอกาสทางธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตตามแผนการเข้าลงทุนในธุรกิจเดินรถโดยสารระบบไฟฟ้า หรือ E-Bus ร่วมกับทางบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด หรือ TSB ซึ่งได้เข้าตรวจสอบกิจการเสร็จเรียบร้อยแล้ว กลุ่ม TSB มีแผนจัดซื้อรถโดยสารไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 337 คัน ภายในระยะเวลา 3 ปี โดยในขณะนี้ รับมอบรถมาแล้วจำนวน 12 คัน และมีแผนรับมอบครั้งต่อไปจำนวน 36 คัน ทั้

งนี้ คาดการณ์ว่าจะสามารถรับมอบรถแล้วเสร็จภายในปี 2564 จำนวน 120 คัน ซึ่งภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทุเลาลง ก็จะเริ่มได้เห็นรายได้จากธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้า นอกจากนี้ TSB ยังมีแผนงานที่จะนำ E-Ticket มาใช้กับระบบการชำระเงินโดยมีธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเข้าร่วมสนับสนุน พร้อมกับระบบการดูแลความปลอดภัยและติดตามการเดินรถในทุกเส้นทาง เป็นต้น จากแผนธุรกิจดังกล่าว บริษัทฯ มีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างรายได้และการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวได้

นางสาวปทิตตา มิลินทจินดา ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด กล่าวว่า ถึงแผนการดำเนินงานด้านธุรกิจหลักทรัพย์ ว่า บริษัท พร้อมเดินหน้าอย่างเต็มที่ โดยมีแผนที่จะนำเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ และพัฒนาบุคคลากรไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์นักลงทุนยุคใหม่ที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังมีการปรับกลยุทธ์เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า Block trade และตราสารอนุพันธ์ โดยการจับมือกับพันธมิตร เพื่อขยายโอกาสทางการตลาด พร้อมกับให้ความรู้ด้านการลงทุนตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงระดับมือโปร ภายใต้โปรเจค “ BYD Online Academy ”

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 60.83 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 205.42% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันในปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวมอยู่ที่ (57.70) ล้านบาท และมีผลการดำเนินงานขาดทุน 76.83 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 81.58 ล้านบาท หรือคิดเป็น 51.50 % ซึ่งการขาดทุนดังกล่าว มีสาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จำนวน 88.07 ล้านบาท ที่เป็นไปตามหลักทางบัญชี เพื่อความระมัดระวังในการดำเนินงาน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากเงินลงทุนและปัญหาในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 ทั้งนี้ หากทางลูกหนี้ของบริษัทฯ สามารถชำระเงินได้ตามแผนการชำระที่เจรจาขอผ่อนปรนไว้ ตัวเลขทางบัญชีดังกล่าวก็จะสามารถกลับรายการและคืนมาเป็นรายได้ต่อไป และหากไม่รวมรายการตั้งสำรองทางบัญชีดังกล่าวจะนับได้ว่า บริษัทฯ ได้เริ่มพลิกฟื้นผลการดำเนินงานขึ้นมาในไตรมาสที่ 2 นี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงองค์กร และลดค่าใช้จ่าย เมื่อพิจารณาร่วมกับการประสบผลสำเร็จจากการเพิ่มทุนจำนวน 1,000 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จะนับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ BYD มีศักยภาพที่จะดำเนินการตามแผนธุรกิจที่วางไว้ได้ต่อไป


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment