เอกา โกลบอลมั่นใจปี 64 ขายแตะ 1,200 ล้านบาท

เอกา โกลบอลผู้นำเทรนด์บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร เล็งเพิ่มกำลังการผลิตอีก 35% ดักทางออเดอร์เพิ่ม ปักหมุดยอดขายปีนี้ แตะ 1,200-1,300 ล้านบาท เตรียมลุยโรดโชว์ 3 ภูมิภาค

นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) เปิดเผยว่า ปี 2564 บริษัท ตั้งเป้าหมายยอดขายจะแตะระดับ 1,200-1,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นราว ๆ 35% จากปี 2563 พร้อมกับวางตำแหน่งแบรนด์ ‘EKA GLOBAL’ เป็นผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร เพื่อขับเคลื่อนบริษัทฯ ให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาว และก้าวสู่การเป็นเบอร์หนึ่งของบริษัทแห่งนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารระดับโลก โดยมุ่งเน้นจุดแข็งสำคัญทางด้านงานวิจัยและพัฒนา (R&D) บรรจุ-ภัณฑ์ ให้สามารถยืดอายุอาหารได้นานยิ่งขึ้น จากเดิมบรรจุภัณฑ์ของบริษัทฯ สามารถยืดอายุอาหารจัดเก็บนอกตู้เย็นได้ยาวนานกว่า 2 ปี ซึ่งอนาคตคาดหวังจะเห็นการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารที่สามารถยืดอายุการจัดเก็บได้นานขึ้นอีกเป็น 3 ปี หรือ 5 ปี

โดยบริษัทเตรียมแผนขยายกำลังการผลิตอีก 35% จากปัจจุบันที่ผลิตได้ 2,500 ล้านชิ้นต่อปี หรือใช้งบลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท หลังจากใช้กำลังการผลิตเต็ม 100% และคาดการณ์ความต้องการในอนาคตจะเพิ่มมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องทุก ๆ ปี โดยทิศทางอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารรอบ 3 เดือนแรกของปี 2564 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากอานิสงค์ของกระแสความนิยมใช้บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารที่มากขึ้นทั่วโลก สอดรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนหลังเกิดวิกฤตโควิด-19

“ปัจจุบัน เอกา โกลบอล ถือเป็นบริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารระดับโลก เป็น Top 5 ของโลก อนาคต 5-10 ปี อยากเห็น เอกา โกลบอล ขึ้นเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร เบอร์หนึ่งของโลก และจะเป็นบริษัทผู้นำเทรนด์ผู้บริโภค ซึ่งกุญแจสำคัญ คือ การวิจัยและพัฒนา ในปีนี้ ได้วางงบลงทุนในการวิจัยและพัฒนา ประมาณ 1-2% ของยอดขายรวม หรือ ราว ๆ 10-20 ล้านบาท ถือว่าเป็นงบที่สูงมาก เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรม”

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า คาดหวังว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศ จะดีขึ้นในไตรมาสที่สองของปีนี้ ซึ่งบริษัท เตรียมความพร้อมเดินหน้าจัดโครงการทดสอบการจัดเก็บอาหารกับบรรจุภัณฑ์อาหารวิถีใหม่ โรดโชว์ 3 ภูมิภาค อาทิ เชียงใหม่ ขอนแก่น และสงขลา เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจอาหารขนาดกลาง-เล็ก (เอสเอ็มอี) ไทยทั่วประเทศ ให้เข้าถึงการผลิตอาหารที่สามารถจัดเก็บได้นาน และมีความปลอดภัยสูง ซึ่งเป็นจุดอ่อน (Pain point) ของธุรกิจอาหาร เพื่อเพิ่มจุดแข็งและโอกาสให้สามารถขยายตลาดไปต่างประเทศได้


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment