{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
BEAUTYเผยในปี 64 มั่นใจเทิร์นอะราวด์ ชู 3 กลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจ Re-structure / Re-new / Re-model ส่วนงบปี 63 รายได้รวม 786.8 ล้านบาท ขาดทุนทางบัญชีสุทธิ 104.9 ล้านบาท
นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (BEAUTY) เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทวางเป้าหมายผลประกอบการกลับมาทำกำไร มีฐานะทางการเงินและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง พร้อมพัฒนาธุรกิจให้มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น ตั้งเป้าการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ( Conservative Growth ) ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลายและมีความไม่แน่นอนสูง โดยตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตประมาณ 5% และรักษาอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 5% โดยบริษัทได้กำหนด 3 กลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ ประกอบด้วย
1. ปรับโครงสร้างบริหารจัดการ เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ (Re-structure) พร้อมลดต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อเนื่อง เพื่อให้ต้นทุนและยอดขายอยู่ในระดับที่เหมาะสมกัน
2.มุ่งเน้นขยายช่องทางการจำหน่ายใหม่ที่มีโอกาสและมีช่องว่างในการเติบโต (Re-new) โดยช่องทางDomestic มุ่งเน้นกลุ่มผู้บริโภคภายในประเทศ ลดการพึ่งพิงนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผ่านช่องทางสินค้าอุปโภค ช่องทางอีคอมเมิร์ซ ส่วนช่องทางช่องทางร้านค้าปลีก (Retails) มีการปรับปรุง Merchandise วิธีการทำการตลาดและการขาย เพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน การขยายตลาดต่างประเทศเชิงรุก และมีแผนพัฒนาโมเดลการขายในต่างประเทศใหม่ผ่าน “Product License” เพื่อความสะดวกในการพัฒนาสินค้าใหม่และการบริหารจัดการตลาดในประเทศจีน
3. พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ (Re-model) ปรับปรุงและพัฒนาโมเดลการขายใหม่ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงกันช่องทางการขายและสินค้าระหว่างช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ อาทิ Direct to Customer (D2C) หรือ Call Center นำเสนอขายสินค้าและให้คำปรึกษา ความรู้เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและความงามควบคู่กันไปด้วย พัฒนา Affiliate Program เป็นโปรแกรมเปลี่ยนลูกค้าเป็นคู่ค้า( Partner ) นำสินค้าของบริษัทไปจำหน่ายในช่องทาง Social Media ของตนเองได้ โดยไม่ต้องสต๊อกสินค้า ไม่ต้องลงทุน บริษัทจัดส่งสินค้าให้ อยู่ที่ไหนก็ขายสินค้าได้ ซึ่งช่องทางใหม่นี้เป็นการเพิ่มโอกาสทางการขายโดยบริษัทไม่ต้องลงทุนขยายสาขาและไม่ต้องเพิ่มพนักงาน รวมทั้งสร้างโมเดลธุรกิจที่หลากหลายร่วมกับพันธมิตรที่เป็นแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย
สำหรับผลประกอบการปี 2563 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 786.8 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,020.8 ล้านบาท ขาดทุนทางบัญชีสุทธิ 104.9 ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่าย 80.9 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจซึ่งเป็นการจ่ายครั้งเดียวที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (Non-routine expenses) และ 24.7 ล้านบาทเป็นการรับรู้ผลประโยชน์ทางภาษีจากผลขาดทุนตามแนวทางปฏิบัติสำหรับภาษีเงินได้มาตรฐานบัญชีฉบับที่ 12 ดังนั้นบริษัทมีผลประกอบการจากการดำเนินงานในปี 2563 ขาดทุนอยู่ที่ 48.8 ล้านบาท โดยลดลงจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 232.6 ล้านบาท
ซึ่งผลประกอบการไตรมาส 4/63 ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากการปรับกลยุทธ์แนวทางบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ ควบคุมต้นทุนการดำเนินงานและลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร รวมถึงลดขนาดองค์กรให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจ โดยในไตรมาส 4/63 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 194.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.6 ล้านบาท หรือ 0.3% จากไตรมาสก่อนที่มีรายได้รวม 193.5 ล้านบาท และมีกำไรทางบัญชีสุทธิ 18.9 ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่าย 9.9 ล้านบาทเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจซึ่งเป็นการจ่ายครั้งเดียวที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ(Non-routine expenses) และ 24.7 ล้านบาทเป็นการรับรู้ผลประโยชน์ทางภาษีจากผลขาดทุนตามแนวทางปฏิบัติสำหรับภาษีเงินได้มาตรฐานบัญชีฉบับที่ 12 ดังนั้นบริษัทมีผลประกอบการจากการดำเนินงานในไตรมาส 4/63 กำไรอยู่ที่ 4.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไร 2.1 % โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 22.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118% จากไตรมาสก่อน
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS