ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ตั้งเป้าโต 30% พร้อมขยายธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง

ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป เผยปี2564 แนวโน้มดี ตั้งเป้าโต 30% มุ่งมั่นขยายธุรกิจ ส่วนปี 63โลจิสติกส์ เติบโตสอดคล้องกับอีคอมเมิร์ซที่กำลังโดดเด่น

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 30 จากปีก่อน ตั้งเป้ารายได้จากการดำเนินงาน อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ที่แข็งแกร่งอยู่ที่กว่าร้อยละ 35 และคาดหวังการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต เราคาดการณ์ว่าจะมีการใช้งบประมาณในการลงทุนช่วงปี 2564 – 2568 อยู่ที่ 5.6 หมื่นล้านบาท โดยตั้งเป้าอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนไม่เกิน 1.5 เท่า โดยประเมินว่าโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจจะมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี แต่ยังต้องดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ และบริษัทพร้อมนำเสนอโครงการใหม่ ๆ ที่กำลังจะแล้วเสร็จ เตรียมรองรับการฟื้นตัวของตลาดในเร็ว ๆ นี้

สำหรับทิศทางกลยุทธ์ในปีนี้เริ่มต้นด้วยการเปิดตัวโครงการ ดับบลิวเอชเอ ทาวเวอร์ (WHA Tower) อาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ บนถนนเทพรัตน์ ก.ม. 7 (ถนนบางนา-ตราด เดิม) ซึ่งเป็นอาคารสูง 25 ชั้น เกรดเอ มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 52,000 ตารางเมตร มีพื้นที่สำนักงานระดับไฮเอนด์ สร้างสมดุลชีวิตการทำงานและไลฟ์สไตล์ที่ลงตัวให้แก่พนักงานของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป และลูกค้า รวมถึงบริษัทที่เข้ามาเช่าพื้นที่ โครงการ WHA Tower ตั้งอยู่ในทำเลศูนย์กลางธุรกิจสำคัญ ที่มีเทคโนโลยีอันทันสมัย พร้อมการเดินทางสะดวกสบาย ล่าสุดคว้ารางวัลสุดยอด “สถาปัตยกรรมอาคารสำนักงานแบบไฮไรส์ ประจำประเทศไทย (Commercial High Rise Architecture Thailand)”

ธุรกิจโลจิสติกส์ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มุ่งมั่นที่จะแสวงหาลูกค้าในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง เน้นการเพิ่มมูลค่าให้การบริการผ่านการผสานรวมเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาในธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ การให้บริการด้านโลจิสติกส์ เฮลท์แคร์ ตลอดจนอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดทั่วโลก คลังสินค้าของดับบลิวเอชเอ ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญในกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และในเขตอีอีซี ทำให้ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ สามารถสานต่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับกลุ่มลูกค้าสำคัญ อีกทั้งผนึกกำลังกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจรายใหม่ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกได้ในระยะยาว ในปี 2564 บริษัทฯ จะเปิดโครงการศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ 5 โครงการ รวมพื้นที่ 400,000 ตารางเมตร พร้อมนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ อาทิ 5G และโรโบติกส์ ซึ่งจะส่งผลให้ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ พัฒนาไปสู่การเป็น “คลังสินค้าอัจฉริยะ” โดยตั้งเป้าโครงการใหม่ และอาคารอุตสาหกรรมให้เช่าในปี 2564 ไว้ที่ 175,000 ตารางเมตร และสัญญาให้เช่าระยะสั้นที่สร้างผลตอบแทนสูงอีกกว่า 50,000 ตารางเมตร

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ (WHAID) ยังคงยืนหยัดความเป็นผู้นำในประเทศไทย และขยายธุรกิจในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง โดยนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอีอีซี พร้อมเปิดดำเนินการและต้อนรับกลุ่มนักลงทุนแล้ว นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาพื้นที่เพิ่มเติมภายในนิคมอุตสาหกรรมอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (จำนวน 641 ไร่) นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (จำนวน 2,152 ไร่) และเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ สระบุรี 2 (จำนวน 1,907 ไร่) รวมถึงการติดตั้งห้องควบคุมอัจฉริยะที่อาคาร WHA Towerภายใต้แนวคิด “Smart Eco Industrial Estates” ซึ่งจะช่วยให้ บริษัทฯ สามารถควบคุมและตรวจสอบการดำเนินงานแบบรวมศูนย์

ในประเทศเวียดนาม ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จะเร่งสานต่องานก่อสร้างพื้นที่ส่วนที่เหลือในเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน เฟส 1 พร้อมขยายการก่อสร้างในเฟส 2 และเฟส 3 คิดเป็นพื้นที่แล้วเสร็จโดยรวม 7,800 ไร่ และจะเริ่มดำเนินการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมใหม่อีก 2 แห่งในจังหวัดทัญฮว้า รวมพื้นที่ 7,500 ไร่ ได้แก่ โครงการ WHA Smart Technology Industrial Zone - Thanh Hoa และโครงการ WHA Northern Industrial Zone - Thanh Hoa ในช่วงปี 2565 – 2566 แล้วด้วยความต้องการที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องจากกลุ่มลูกค้า บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายที่ดินในปี 2564 ที่จำนวน 1,000 ไร่

ธุรกิจระบบสาธารณูปโภค และพลังงาน ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ มุ่งเน้นการเติบโตทางธุรกิจทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรม ในประเทศไทยและเวียดนาม โดยการเริ่มคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมโซลูชันพลังงานหมุนเวียนใหม่ ๆ

ด้านสาธารณูปโภค ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จะใช้ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ เพื่อให้บริการโซลูชันน้ำหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ Wastewater Reclamation และการผลิตน้ำที่ปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) สำหรับลูกค้าภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงผู้พัฒนาที่ดินอุตสาหกรรมอื่นๆ และเขตเทศบาล นอกจากนี้บริษัทฯ พร้อมเปิดตัวโซลูชันนวัตกรรมและแพลตฟอร์มการให้บริการระบบสาธารณูปโภคสำหรับลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรม ส่วนในประเทศเวียดนาม ซึ่งบริษัทฯ มีหุ้นในบริษัทน้ำ 2 แห่ง จะยังมองหาโอกาสการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคเพิ่มเติม โดยในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดจัดจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวมไว้ที่ 153 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากปีก่อน

ขณะที่ด้านพลังงาน ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จะขยายธุรกิจด้วยการพัฒนาโซลูชันพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) สำหรับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม ตั้งเป้าการเซ็นสัญญาเพื่อลงทุนผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ารวม 30 เมกะวัตต์ WHAUP เร่งเดินหน้าโครงการที่มุ่งเน้นนวัตกรรมใหม่ๆ อาทิ การทดสอบระบบ Peer-to-Peer Energy Trading และจะนำมาใช้จริงเมื่อผลการทดสอบเป็นที่น่าพอใจ ในปี 2564 บริษัทฯ คาดว่าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นทั้งสิ้น 650 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปีก่อน

สุดท้ายธุรกิจดิจิทัล แพลตฟอร์ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินโฟนิท พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานในทุกกลุ่มธุรกิจ จะมีการติดตั้งไฟเบอร์ออฟติก (FTTx) ครอบคลุมพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมที่เหลืออยู่ให้แล้วเสร็จ เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมต่อด้านดิจิทัลภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ จะมอบบริการที่ครบวงจรมากขึ้นให้แก่ลูกค้า พร้อมขยายโอกาสจากการใช้เทคโนโลยี 5G ภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ

นางจรีพร กล่าวอีกว่า ในปี 2563 เป็นอีกหนึ่งปีที่ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของประเทศไทยในฐานะผู้พัฒนาด้านโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภคและพลังงาน ตลอดจนดิจิทัล แพลตฟอร์ม แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อยอดขายที่ดินอุตสาหกรรมในประเทศไทย อันเนื่องมาจากการระงับการเดินทางชั่วคราว แต่ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มลูกค้ายังคงมีอยู่ต่อเนื่อง ด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยที่สามารถดึงดูดการลงทุนได้อย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่ารายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติในปี 2563 จะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 9.4 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากปีก่อน โดยมีมูลค่าสินทรัพย์โดยรวม 8.3 หมื่นล้านบาท และทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ A-


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment